Politics

‘บิ๊กตู่’ ยืนยัน ‘วัคซีนโควิด’ เพียงพอทั่วถึง เคาะฉีดกลุ่มจำเป็นเร่งด่วนก่อน

“นายกรัฐมนตรี” ยืนยันคนไทยได้รับ “วัคซีนโควิด” ทั่วถึงและเพียงพอ พร้อมทยอยฉีดวัคซีนตามลำดับ เริ่มจากกลุ่มจำเป็นเร่งด่วน กำชับปราบบ่อน สิ่งผิดกฎหมายแหล่งแพร่โควิด พร้อมขอประชาชนร่วมแจ้งเบาะแส

ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดหา “วัคซีนป้องกันโควิด” โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมจัดทำแผนงานสร้างความรับรู้ให้แก่ประชาชน แผนการกระจายวัคซีน การขนส่งวัคซีนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาล สถานพยาบาลต่าง ๆ

ทั้งนี้ “วัคซีนโควิด” จะต้องทั่วถึงและเพียงพอ ยืนยันว่า ประชาชนทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะมีการทยอยฉีดวัคซีนตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลประชาชน ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง

ประยุทธ์1216421 1

ขณะเดียวกัน ได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สามารถนำเข้าวัคซีนได้จากต่างประเทศ แต่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นอกจากนี้ ยังกำชับให้มีการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน โควิด-19 อาทิ หน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ให้เพียงพอและครอบคลุมทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อจำนวนมากและในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อน้อยด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ เช่น ลดการเดินทาง สวมใส่หน้ากากอนามัยทั้งหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด อยู่ในระดับที่ดีขึ้น และสามารถควบคุมได้ สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติ อาทิ ลิ้นไม่รับรู้รส จมูกไม่ได้กลิ่น ขอให้เข้าพบแพทย์ และอย่าปกปิดข้อมูล

“ฝากประชาชนละเว้นไปสถานที่อโคจร สถานที่มั่วสุม หรือรวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อไม่เสี่ยงรับหรือแพร่เชื้อโควิด-19 พร้อมย้ำว่า รัฐบาลพร้อมดูแลทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างหนักและผู้ป่วยติดเชื้อโควิด รวมทั้งความเดือดร้อนของประชาชนที่ร้องเรียนเข้ามา แต่ทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน กฎหมาย และวิธีปฏิบัติ” นายกรัฐมนตรี ระบุ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ได้มีการหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ จัดทำมาตรการเศรษฐกิจบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายประชาชน อาทิ ส่วนลดค่าไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตามใบแจ้งหนี้เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2564

สำหรับบ้านที่อยู่อาศัยหากใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก หากใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าตามที่เงื่อนไขกำหนด สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ากิจการขนาดเล็ก ไม่ร่วมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก

ขณะที่ ค่าน้ำประปา มีส่วนลด 10% เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ไม่ร่วมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตามใบแจ้งหนี้เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2564 รวมทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกสทช. จะขอความร่วมมือผู้ให้บริการเครือข่ายต่าง ๆ เพิ่มความแรงและความเร็วของอินเทอร์เน็ตบ้าน อินเทอร์เน็ตมือถือ สนับสนุนการ Work From Home และให้ประชาชนโหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ฟรี ไม่คิดค่า Data เป็นระยะเวลา 3 เดือน

พล.อ.ประยุทธ์ ยังเผยถึงการติดตามประเมินผลการใช้จ่ายผ่าน “โครงการคนละครึ่ง” พบว่าสามารถช่วยเหลือประชาชนและทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยดี จึงจะเปิดให้มีการลงทะเบียนใหม่อีก 1 ล้านสิทธิในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564

อนุชา

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โดยที่ปรากฎว่า การระบาดของโรคโควิด ระลอกใหม่ ส่วนใหญ่เกิดการแพร่เชื้อจากแหล่งผิดกฎหมาย เช่น บ่อน แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการลักลอบค้าประเวณี นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง สั่งการให้ทุกส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการทหารสูงสุด ร่วมสนธิกำลังกันอย่างเข้มข้น เพื่อปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย

โฆษกรัฐบาล ระบุว่า นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับบทบาทของภาคประชาชน ที่สามารถร่วมเป็นกำลังสำคัญปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายที่บั่นทอนความมั่นคงของชาติได้ ด้วยการแจ้งเบาะแสมาที่นายกรัฐมนตรีโดยตรงผ่านช่องทางที่หลากหลาย ดังนี้

  1. สายด่วน 1111
  2. ตู้ปณ. 1111 ปณ. ทำเนียบรัฐบาล
  3. เว็บไซต์ www.1111.go.th
  4. แอปพลิเคชัน PSC 1111 (Mobile App PSC 1111)
  5. จุดบริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล

โฆษกรัฐบาล ยังระบุเพิ่มเติมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า ผู้ที่แจ้งเบาะแส จะได้รับความคุ้มครองและรักษาเป็นความลับราชการ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ไม่เคยนิ่งนอนใจแม้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ขณะนี้เพิ่มความเข้มข้นขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จึงได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 17) ทั้งนี้ ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ร่วมมือกับรัฐบาลในการหยุดยั้งโควิด-19 และร่วมเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลความเรียบร้อย ปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายไปพร้อมกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo