Technology

เปิด 5 เทรนด์เทคโนโลยี ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ‘อาหาร-เครื่องดื่ม’

5 เทรนด์เทคโนโลยี ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อาหาร-เครื่องดื่ม “อินฟอร์” ชี้ คลาวด์ช่วยสร้างความคล่องตัว ปรับสู่ ออมนิ ชาแนล ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนธุรกิจ ยุคอุตสาหกรรม 4.0

นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานบริษัท อินฟอร์ อาเชียน เปิดเผยว่า 5 เทรนด์เทคโนโลยี ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อาหารและเครื่องดื่ม ที่จะส่งผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ ต้องปรับตัวรับ และนำมาใช้ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทาย ประกอบด้วย

5 เทรนด์เทคโนโลยี

คลาวด์

มีความคลางแคลงใจเล็กน้อยว่าคลาวด์จะเติบโตอย่างมาก ในฐานะเป็นเครื่องมือ ในการสร้างความแข็งแกร่ง และความคล่องตัวอย่างหนึ่งจริงหรือ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ธุรกิจต้องการ ก็จะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

การเก็บรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ และระบบซัพพลายเชนแบบขยาย (Extended Supply Chain) ให้ได้อย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น การอ่านอุณหภูมิในฐานข้อมูล ที่มีโครงสร้างของระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (ERP) ก็มีจุดเล็กจุดน้อย ที่จัดเก็บอยู่อย่างปลอดภัย ในไฟร์วอลล์ของบริษัท

นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ต้องมีดาต้าเลค (Data Lake) บนระบบคลาวด์ และใช้บริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่าง ๆ รวมถึงใช้พลังของการประมวลผลบนคลาวด์ เพื่อมอบความชาญฉลาดและทำให้ข้อมูลมีความสำคัญ

คุณประโยชน์ที่ดียิ่งของคลาวด์ คือ การใช้งานในรูปแบบ as a service แทนการทำโปรเจกต์ด้านไอทีที่ยืดเยื้อ เพียงเพื่อให้ทำงานบางประเภทที่จะไม่ต้องปรับขนาดให้สำเร็จ คลาวด์ยังช่วยให้ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้เร็วกว่า ซึ่งตรงข้ามกับการที่ต้องทำโปรเจกต์เพื่อโยกย้ายทางเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งมักต้องการใช้ทีมงานหลายทีม เพื่อทำงานย้อนกลับที่ละขั้นตอน ก่อนที่จะสามารถดำเนินการต่อไปได้

อินฟอร์เชื่อว่าในปี 2564 จะได้เห็นบริษัทด้านอาหารจำนวนมากขึ้น เปลี่ยนไปใช้คลาวด์ เพราะพวกเขาต้องการเครื่องมือขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นเลิศ และรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ที่จะกระทบต่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเกิดความไม่แน่นอนใดขึ้นในอีกสองสามปีต่อจากนี้

technologysocial media ๒๑๐๑๐๑

ออมนิชาแนล (Omni-channel)

บริษัทผู้ผลิตอาหารได้เห็นแล้วว่า ความต้องการมีการเปลี่ยนแปลงสูงมาก จากการที่บริการส่งสินค้าถึงบ้าน เข้ามามีความสำคัญมากกว่าการรับประทานที่ร้าน และไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แนวโน้มนี้คงจะไม่กลับไปเป็นเหมือนก่อน การระบาดของโควิด-19 อีกต่อไป เพราะทุกวันนี้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการสั่งอาหารผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

ดังนั้น ช่องทางการขายแบบ Omni-channel จะช่วยลดความเสี่ยง และช่วยให้ธุรกิจ สามารถมีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น ผู้ผลิตอาหารจำนวนมาก จะใช้ช่องทางการขายแบบ Omni-channel ในปี 2564 ผ่านอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นเว็บช็อป (Webshop) หรือเชื่อมต่อไปยังตลาดดิจิทัล เช่น Amazon เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การรับรู้ต่อแบรนด์ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จะมีอิทธิพลมากขึ้น หากมีการสร้างความสัมพันธ์ตรงไปยังผู้บริโภค โดยไม่ผ่านผู้ค้าปลีก เมื่อมีคำถามใด ๆ เกิดขึ้นผู้บริโภคในปัจจุบันจะไม่โทรศัพท์ไปที่ฝ่ายบริการลูกค้าตามหมายเลขที่ระบุอยู่บนบรรจุภัณฑ์ คนรุ่นใหม่ไม่อดทนรอ และต้องการสั่งซื้อและได้รับคำตอบต่อคำถามในเวลาที่พวกเขาสะดวกแม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแล้วก็ตาม

ตัวอย่างของการแก้ปัญหานี้คือ การให้บริการผ่านแชทบอท ซึ่งสามารถให้ข้อมูลส่วนผสมของอาหาร หรือคำแนะนำในการจัดเตรียมอาหารต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคได้ และยังให้ข้อมูลจำนวนมาก เกี่ยวกับวิธีการที่ผู้บริโภคนำอาหารไปใช้ และมีความประทับใจอย่างไร ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ได้

Picture2

เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรม 4.0

แม้ว่าจะมีความต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเปล่าของอาหาร น้ำ และพลังงาน แต่มีเพียง 6% ของผู้แปรรูปอาหารเท่านั้นที่ใช้ IoT โดยอีก 12% ระบุว่ามีแผนที่จะศึกษาบทบาทของ IoT ภายในสองปีข้างหน้า และ 82% ยังไม่มีแผนใด ๆ เลย

ตัวเลขเหล่านี้อธิบายได้ จากข้อเท็จจริงว่า จนถึงปัจจุบันเราได้เห็นการทดลองบางอย่าง ในโดเมนที่แยกเป็นโซน (Isolated Domains) เช่น การจดจำภาพในอุปกรณ์สำหรับการตรวจสอบ, อุปกรณ์ IoT ในการเพาะปลูก หรือในสายการผลิตต่าง ๆ เป็นต้น

ตัวอย่างสองสามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้ IoT ในวงกว้างเพื่อขับเคลื่อนการทำงาน เช่น เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตต่าง ๆ มีเซ็นเซอร์เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมาก เช่น อุณหภูมิและตัวแปรด้านคุณภาพอื่น ๆ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังคงอยู่ในเครื่องจักร และสูญหายไปหลังจากเริ่มดำเนินการผลิต โดยไม่ได้มีการนำไปใช้ต่อให้เป็นประโยชน์

การเรียกคืนผลิตภัณฑ์ เป็นหนึ่งในความเสี่ยงด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุด ที่บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มเผชิญอยู่ กระบวนการเรียกคืนในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉลี่ยมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงจะครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียกคืน

ผลการศึกษา ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีบริษัทใดอ้างว่า ระบบการติดตามตรวจสอบ และการบริหารจัดการด้านคุณภาพ เป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีเพียง 7% ที่กล่าวว่า “ส่วนใหญ่” มีความพร้อม และครึ่งหนึ่ง (50%) กล่าวว่ายังไม่ใช้ระบบดิจิทัล ในขณะที่ 43% อธิบายสถานะของตนว่าใช้ดิจิทัลอย่างมีขอบเขต “จำกัด”

ผลสำรวจเหล่านี้ เน้นให้เห็นมากขึ้นว่า ข้อมูลจำนวนมากถูกเก็บอยู่ในระบบต่าง ๆ ที่ไม่เชื่อมโยงกัน ดังนั้น ในปี 2564 ผู้ผลิตอาหารมากราย จะมีเส้นทางเดินสู่การนำระบบดิจิทัลมาใช้ ด้วยการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อเก็บข้อมูลและเชื่อมต่อข้อมูลไปยังธุรกรรมต่าง ๆ ในระบบ ERP ของตน

Picture1

ใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ

ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ช่วยให้การใช้ IoT ในลักษณะที่เป็นองค์รวมเป็นไปได้ ประการแรก คือ สามารถเรียกคืนผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้นและตรงเป้าหมายมากขึ้น ด้วยความสามารถในการระบุ และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้ทันที ประโยชน์ประการที่สองคือ สามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ขับเคลื่อนการตัดสินใจต่าง ๆ และสร้างบริษัทที่มีความสามารถมากขึ้น

ตัวอย่างที่ดีคือ การมีข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับการขนส่งพืชผลจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวเนื่องกับเวลาที่จะมาถึงโดยประมาณเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับสภาพการเก็บรักษาพืชผลเหล่านั้นระหว่างการขนส่งด้วย เพื่อให้สามารถคาดการณ์คุณภาพและการนำไปใช้ก่อนเวลาหมดอายุ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

ความสามารถนี้ จะช่วยให้สามารถควบคุมระบบซัพพลายเชน ที่อยู่นอกส่วนของโรงงานได้ และนำข้อมูลจากพื้นที่เพาะปลูกไปจนถึงเมื่ออยู่ในมือของ ผู้บริโภค ไปใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลผลิต, ลดการสูญเปล่าของอาหาร และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของอาหารให้เหลือน้อยที่สุด และยังสามารถเปลี่ยนความท้าทายต่าง ๆ ให้กลายเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันได้อีกด้วย

นอกจากนี้สิ่งที่จะมีผลอย่างมากต่อความปลอดภัยของอาหารคือการใช้เซ็นเซอร์ IoT ตรวจสอบว่าอุปกรณ์สะอาดหรือไม่ โดยผลลัพธ์ที่ออกมาจะอยู่ในรูปแบบคำสั่งให้ทำความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนต่าง ๆ ซึ่งจะนำเราก้าวสู่แนวโน้มสำคัญในปี 2564

ความโปร่งใสต่อผู้บริโภค

ข้อได้เปรียบประการหนึ่งคือ ความโปร่งใส ผู้บริโภค กำลังแสวงหาข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น เพื่อนำไปช่วยในการตัดสินใจซื้อ ทั้งนี้ 67% ของผู้บริโภคกล่าวว่า พวกเขาต้องการทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในอาหารที่ซื้อ และ 46% ของชาวอเมริกันกล่าวว่า การระบุรายละเอียดในผลิตภัณฑ์อาหาร มีอิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ

เพื่อขานรับต่อความต้องการนี้ ผู้ผลิต 23% กำลังวางแผนที่จะให้ข้อมูล เกี่ยวกับแหล่งที่มา และข้อมูลอื่น ๆ ของผลิตภัณฑ์ กับผู้บริโภค ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มในอีกสองปีข้างหน้า ในขณะที่ 15% อ้างว่ามีการใช้งานอยู่แล้ว

สิ่งสำคัญสำหรับผู้ผลิตที่เหลืออีก 62% คือ จะต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่พวกเขากำลังกระทำอยู่ เพื่อรองรับความยั่งยืนให้กับผู้บริโภค ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ผู้ค้าปลีกกำลังกดดันให้ผู้ผลิต ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์มีจำนวนมากขึ้น เช่น Tesco ได้ขอรายงานความสูญเปล่าด้านอาหารจากซัพพลายเชน เป็นต้น

ในปี 2563 Walmart และ Carrefour เริ่มนำร่องร่วมกับ IBM Food Trust นำ GS1 Digital Link ซึ่งเป็นรหัสสากลที่สามารถสแกนข้อมูลได้ด้วยโทรศัพท์มือถือ มาใช้กับอาหารบางประเภท และการเปิดให้ผู้บริโภคได้ใช้ GlobalGAP GGN ซึ่งเป็นหมายเลขสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อตรวจสอบย้อนกลับบรรจุภัณฑ์ขั้นสุดท้าย

ในปี 2564 และต่อจากนี้ไป เราจะได้เห็นสิ่งที่กล่าวมานี้ ขยายไปใช้งานกับผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทมากขึ้น และใช้เป็นวิธีการสร้างความแตกต่างของผู้ผลิต และพิสูจน์ความยั่งยืนของระบบซัพพลายเชน ซึ่งหมายถึง สามารถขยายการควบคุมระบบซัพพลายเชนตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงมือผู้บริโภค และแยกแยะว่าพืชนั้น ๆ ปลอด GMO จริงหรือไม่ มีการป้องกันพืชด้วยวิธีการแบบใด และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo