“นพ.ประสิทธิ์” ย้ำ!! โควิดระลอกใหม่หนักหน่วง-รุนแรง ต่างจากรอบแรก รายงานระบุ ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรงของ “โควิด” ถึง 7 เท่า
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การระบาด “โควิด” ระลอกใหม่รุนแรงกว่า และต่างจากรอบแรก ด้วยหลายปัจจัย ตั้งแต่จุดเริ่มในที่อโคจร การกระทำผิดกฎหมายลักลอบเข้าเมือง คนไม่ยอมเปิดเผยตัว สืบสวนต้นตอที่มาของโรคยาก ความรุนแรงของโรคจากการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง ที่ปอดทำงานไม่เต็มที่
เมื่อไวรัสจู่โจม ระบบทางเดินหายใจ อาจทำลายปอด 10-20% จนปอดไม่พื้นกลับมา ได้แก่
- ผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆจะเสื่อมตามกาลเวลา
- คนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอด เช่น โรคปอด มะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง แม้ปอดถูกทำลายเล็กน้อย ก็จะส่งผลต่อชีวิตอย่างมาก ร่างกายจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
- คนที่มีน้ำหนักมาก มีไขมันใต้ผิวหนัง หรือใต้ช่องท้องมาก รวมถึงผู้ป่วยเบาหวาน กลุ่มนี้เสี่ยงกับการหายใจที่ยากลำบากกว่าเดิม เพราะกระบังลมเคลื่อนไหวได้ยาก ทำให้ปอดทำงานได้น้อยลง
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า งานวิจัยพบเมื่อโควิด เข้าไปในร่างกาย ภูมิคุ้มกันจะทำงานเต็มที่สัปดาห์ที่ 2 หรือวันที่ 8 หลังรับเชื้อ เพื่อยับยั้งหรือช่วยไม่ให้เกิดโรค ถ้าภูมิคุ้มกันปกติ 2-3 สัปดาห์แรกจะทำงานเต็มที่ จากนั้นค่อย ๆ ลดลง จึงพบมีกลุ่มคนที่ได้รับเชื้อ แต่ไม่แสดงอาการ และหายได้เอง
ทั้งนี้ หากภูมิคุ้มกับไม่ปกติ เพราะมีโรคประจำตัว ที่ต้องใช้ยารักษาที่ไปกดภูมิคุ้มกัน เช่น เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลเองไม่ได้ เป็นโรคหลอดเลือด เม็ดเลือดขาวไม่สามารถจัดการเชื้อโรคได้ คนกลุ่มนี้เมื่อได้รับเชื้อโควิดจะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงไม่เพียงปอดถูกทำลาย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิต เพราะไตวาย เลือดไม่ไปเลี้ยงแขนขา ความรุนแรงของเชื้อไปกระทบกับอวัยวะอื่นด้วย ดังนั้น ผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงเสี่ยงมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของไวรัสทุกชนิดไม่เฉพาะโควิด มันจะปรับตัวหรือที่เรียกว่า “กลายพันธุ์อยู่เสมอ” อย่างในอังกฤษพบว่า เชื้อโควิดติดต่อได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น ดังนั้น ต้องช่วยกันลดปัจจัยเสี่ยงที่จะกลายเป็นวิกฤต คือ
- พบกับบุคคลเสี่ยง
- อยู่ในพื้นที่เสี่ยง
- ร่วมกิจกรรมเสี่ยง
- เข้าไปช่วงเวลาเสี่ยง
ทั้งนี้ คนไทยทุกคนต้องร่วมกันจัดการกับ 4 เสี่ยงนี้เท่าที่จะทำได้ตามปัจจัยและเงื่อนไขชีวิตตนเอง ไม่ต้องรอให้รัฐออกมาตรการ ไม่จำเป็นต้องให้มีการบังคับ นี่คือสิ่งที่เราจะช่วยปกป้องชีวิตของตัวเองและคนที่เรารัก
ด้าน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า กลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non communicable diseases) อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไต หัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และมะเร็ง มีความเสี่ยงโควิด-19 รุนแรงต่อโรคมากกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า โดยผู้ป่วยเบาหวานในไทยมีถึง 4.8 ล้านคน
ขณะที่ข้อมูลจาก UNIATF (United Nations Inter Agency Task Force Mission to Thailand on Noncommunicable Disease) รายงานว่า ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรงของโควิด-19 ถึง 7 เท่า ขณะที่ของเด็กและเยาวชนมีปัญหาน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นถึง 13.1% ผู้ที่สูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงถึง 1.5 เท่า และการดื่มสุราส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ในการต่อสู้กับไวรัสต่ำลง แม้จะดื่มหนักเพียงครั้งเดียว
“เราจึงควรดูแลสุขภาพอยู่เสมอ เพราะร่างกายที่ดีจะเป็นต้นทุนสำคัญ เพื่อต่อสู้กับทุกโรคไม่เฉพาะโควิด -19 และยกระดับการป้องกันตนเอง คนรอบข้าง และกลุ่มเสี่ยง โดยใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ให้ตนเองกลายเป็นบุคคลเสี่ยงเสียเอง เปรียบเสมือนเรากำลังสร้างวัคซีนทางพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อ ทั้งในขณะที่วัคซีนฉีดยังไม่มา หรือแม้กระทั่งมีวัคซีนกันแล้ว พฤติกรรมเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคเหล่านี้ก็ควรจะต้องยังปฏิบัติคู่ขนานไปต่อเนื่องไปด้วย” ดร.สุปรีดา กล่าว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ป่วยโควิดวันนี้ 245 คน ติดเชื้อในประเทศ 181 คน ค้นหาเชิงรุกเจออีก 43 ราย
- เข้มโควิด! ‘กองทัพบก’ สั่งคัดกรองทหารใหม่ทุกนายก่อนเข้าค่าย!
- โควิดวันนี้ 10 ม.ค. ทั่วโลกทะลุ 90 ล้าน ‘บราซิล’ ชาติที่ 2 ของโลกดับเกิน 2 แสนราย