CEO INSIGHT

‘กานดา’ ปรับกลยุทธ์สู้ศึกอสังหาฯ เน้นพัฒนาที่ดินในมือ ลุยบ้านต่ำกว่า 1.6 ล้าน

ปรับกลยุทธ์ สู้ศึกอสังหาฯ กานดา พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งพัฒนาที่ดินที่มี แทนการซื้อที่ดินใหม่ ปักธงลุยบ้านต่ำกว่า 1.6 ล้านขยายฐานลูกค้าใหม่ เดินหน้าผุด 5 โครงการแนวราบปีนี้

นายหัสกร บุญยัง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ “ไอลีฟ” เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทได้ ปรับกลยุทธ์ สู้ศึกอสังหาฯ โดยหลักๆ คือ การชะลอซื้อที่ดินใหม่ และหันมาพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ การเดินหน้าขยายโครงการบ้านแนวราบ และ การขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการลุยตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 1.6 ล้านบาทลงมา  จากเดิมที่บ้านของบริษัท จะอยู่ในระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก

ปรับกลยุทธ์ สู้ศึกอสังหาฯ

สำหรับการขยายตลาดบ้านระดับราคา 1.6  ล้านบาทลงไป เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังมีความต้องการซื้อสูง แต่ยังติดปัญหาเรื่องของต้นทุนการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ที่เพิ่มสูงขึ้น หัวใจหลักคือ ต้นทุนที่ดินต้องถูก ซึ่งจะต้องขยับออกมานอกเมือง แต่ต้องมีแหล่งงานรองรับ โดยคาดว่า จะได้ข้อสรุปในเรื่องของการขยายกลุ่มลูกค้าดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ ทั้งในด้านการก่อสร้าง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น ในส่วนของการก่อสร้าง ได้เพิ่มจำนวนบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายพร้อมโอน ให้เพียงพอกับประมาณการยอดขาย ในช่วงเปิดโครงการ เพื่อที่จะสามารถโอนได้เร็ว เพิ่มกระแสเงินสดให้บริษัทได้เร็วขึ้น และยังเป็นการรองรับพฤติกรรมการซื้อของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการซื้อโดยไม่ต้องผ่อนดาวน์

“บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ สำหรับช่วงปี 2562-2566 ปีละ 1-3 ทำเล และเปิดโครงการใหม่ปีละ 4-8 โครงการ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท”นายหัสกร กล่าว

นอกจากนี้   บริษัทยังคงเน้นการเติบโตอย่างมั่นคง และมีสถานะการเงินที่แข็งแรง โดยได้ชะลอการซื้อที่ดินใหม่ และนำที่ดินที่มีอยู่มาพัฒนาโครงการใหม่ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,300 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,631 ล้านบาท ประกอบด้วย

I Leaf Prime

  • ไอลีฟ ไพร์ม ประชาอุทิศ 90โครงการทาวน์โฮมจำนวน 211 ยูนิต มูลค่าโครงการ 441 ล้านบาท
  • ไอลีฟ ไพร์ม 2 พระราม 2 กม.14 โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดจำนวนรวม 228 ยูนิต มูลค่าโครงการ 805 ล้านบาท
  • ไอลีฟ พัทยา-จอมเทียน ซึ่งเป็นการเปิดโครงการบนทำเลใหม่ในปีนี้ของบริษัท เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวนรวม 384 ยูนิต มูลค่าโครงการ 875 ล้านบาท
  • ไอลีฟ ไพร์ม 2 ประชาอุทิศ 90 โครงการทาวน์โฮม จำนวน 268 ยูนิต มูลค่าโครงการ 541 ล้านบาท
  • ไอลีฟ ไพร์ม 2 วงแหวน-รังสิตคลอง 4 โครงการทาวน์โฮม จำนวน 460 ยูนิต มูลค่าโครงการ 969 ล้านบาท

จากแผนเปิดโครงการใหม่ดังกล่าว เมื่อรวมกับโครงการที่เปิดขายมาแล้วก่อนหน้า จะทำให้ในปี 2564 บริษัทจะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวมทั้งสิ้น 17 โครงการ ใน 9 ทำเล มูลค่าโครงการรวมประมาณ 9,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีที่ดินรอการพัฒนาสำหรับโครงการในอนาคตมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท

ขณะที่ ภาพรวมธุรกิจในปีนี้ คาดว่า ไม่น่าจะแย่กว่าปี 2563 แม้เปิดศักราชใหม่มา จะมีการ ล็อกดาวน์ ในบางจังหวัดหรือบางพื้นที่ เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 แต่เชื่อว่าประสบการณ์การ ล็อกดาวน์ในช่วงปี 2563 จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แต่ละบริษัท ในการบริหารจัดการ ประคับประครองสถานะการเงิน และบุคลากรของบริษัท ได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ห่องนอน

ส้วนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มองว่า จะมีความคล้ายคลึงกับปี 2563 โดยมีการชะลอตัวในครึ่งปีแรก และฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ความต้องการคงไม่เพิ่มขึ้น แต่มีกลุ่มที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียม เปลี่ยนมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น

“จากการที่มีผู้เล่นในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น จะทำให้การแข่งขันในแต่ละทำเลสูงขึ้น แต่ละบริษัทจะมีการจัดแคมเปญ โปรโมชั่นที่เข้มข้นมากขึ้นเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ซึ่งจะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย”นายหัสกร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยแนวสูง คาดว่าจะยังคงติดลบอยู่ เพราะยอดขายคอนโดมิเนียมใหม่น้อยลง โดยภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว

ด้านผลการดำเนินงานของ กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ในปี 2563 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่โครงการที่เปิดใหม่ ถือว่าได้รับการตอบรับที่น่าพอใจ แต่ละโครงการมีอัตราการขายที่ดีกว่าภาพรวมของตลาด ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ยอดขายในปี 2563 มียอดขายมากกว่า 3,000 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า รายได้จากการโอนทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย โดยมีรายได้จากการโอน 1,950 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ ในช่วงที่ไวรัสระบาดรุนแรง และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่สูงขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ และยังคงเป็นไปตามแผนที่ต้องการให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคง และมีสถานะการเงินแข็งแรง

การขยายทำเลในปี 2563 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่เพิ่มที่ โซนเทพารักษ์-บางบ่อ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไอลีฟ พรีม่า เทพารักษ์-บางบ่อ ทั้งในส่วนที่เป็นโครงการทาวน์โฮม “ไอลีฟ ทาวน์ไ และโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด “ไอลีฟ พาร์ค”

นอกจากนี้ ยังได้เปิดโครงการใหม่ในทำเลที่บริษัทมีโครงการเปิดอยู่ก่อนแล้ว ได้แก่ โครงการไอลีฟ ไพร์ม วงแหวน-รังสิตคลอง 4 และโครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 ถลาง ภูเก็ต

“ปัญหาที่เกิดจากการภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการที่ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในเชิงรุก โดยการตั้งทีมขึ้นมาทำงานร่วมกับธนาคารต่างๆ อย่างใกล้ชิด และคอยแก้ปัญหาและให้คำปรึกษากับลูกค้าที่กู้ไม่ผ่าน เพื่อยังคงรักษาลูกค้าไว้กับบริษัทในระยะยาว” นายหัสกร กล่าวปิดท้าย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo