ตลท. เผยมาร์เก็ตแคป IPO ปี 63 พุ่ง 555,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 8 ของโลก อันดับ 1 ของอาเซียน มูลค่าซื้อขายทะลุ 100,000 ล้านบาท ถึง 22 วัน พร้อมเปิดกลยุทธ์ระยะ 3 ปี
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในปี 2563 มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของหลักทรัพย์ (IPO) 555,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 8 ของโลก อันดับ 2 ในเอเชีย และสูงสุดในอาเซียนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดย บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าระดมทุนใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีมูลค่าเสนอขายในกลุ่มค้าปลีกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
ขณะที่ สภาพคล่องของ ตลท. ครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนติดต่อกันตั้งแต่ปี 2555 โดยปี 2563 มีวันที่มูลค่าซื้อขายเกิน 100,000 ล้านบาท ถึง 22 วัน และวันที่ซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท และโดยเฉลี่ยมีมูลค่าซื้อขายต่อวัน 67,334.80 ล้านบาท มีจำนวนบัญชีใหม่เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 662,678 บัญชี จากสิ้นปี 2562 สรุปตัวเลขบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์รวม 3.43 ล้านบัญชี
สำหรับการเดินหน้าของ ตลท.ได้กำหนดกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (2564-2566) จะพัฒนาสู่ความยั่งยืน 4 ด้าน ประกอบด้วย 8 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
1. สร้างการเติบโตในตลาดทุน (Market Growth)
- การเพิ่มหลักทรัพย์ใหม่ (Boost supply-side opportunities) ส่งเสริมการระดมทุนของธุรกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจกระแสใหม่ (New economy) หลักทรัพย์ต่างประเทศ บริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) รวมถึงสตาร์ทอัพ (Startups) ในรูปแบบที่เหมาะสมตามความเสี่ยงและประเภทของผู้ร่วมลงทุน ขณะเดียวกัน สนับสนุนการนำข้อมูลไปใช้เพื่อประโยชน์ในการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ
- การขยายฐานผู้ลงทุน (Rapid investor expansion) มุ่งเน้นการขยายช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้กว้างขึ้นและทำให้การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ควบคู่กับการตลาดดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลความรู้ บริการ และผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ ให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ขณะที่จะขยายความน่าสนใจของตลาดทุนไทยไปยังกลุ่มผู้ลงทุนต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการนำเสนอธีมผลิตภัณฑ์และบริการ (Thematic products and services) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนสถาบัน
2. ขยายโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Expansion)
- การสร้างการมีส่วนร่วม (Building engagement) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียน และผู้ประกอบการในตลาดทุน ส่งเสริมรายงานด้าน ESG รวมทั้งปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
- การต่อยอดธุรกิจใหม่ (Venturing new frontiers) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับตลาดทุนไทย เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงตลาดทุนโลก และให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างรายได้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนของผู้ลงทุน
3. ขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อม (Environmental Solutions & Social Development)
- การปลูกฝังการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG cultivation) ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนนำหลักการ ESG มาบูรณาการในกระบวนการดำเนินงานตามลักษณะการประกอบธุรกิจ เพื่อคงความเป็นผู้นำในภูมิภาคในด้าน ESG พร้อมส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังสร้างความตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ผ่านโครงการ Care the Bear Care the Whale และ Care the Wild โดยทำงานร่วมกับองค์กรในตลาดทุนและพันธมิตร
- การเสริมสร้างพลังทางสังคม (Social empowerment) มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางด้านความรู้ทางการเงินของประเทศ โดยพัฒนาทักษะพื้นฐานการบริหารจัดการทางการเงินในชีวิตประจำวันให้กับประชาชน นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับงานวิจัยด้านตลาดทุน พัฒนาศักยภาพและขยายโอกาสสำหรับธุรกิจเพื่อสังคมผ่าน Social digital platform
4. เพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจและศักยภาพบุคลากร (Continuous Improvement & Talent Empowerment)
- ความสามารถในการขยายตัวด้านธุรกิจ (Business scalability) ยกระดับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยยึดหลักมาตรฐานสากล และสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรในการสร้างสรรค์บริการอย่างครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและผู้ลงทุน
- ความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน (Operational excellence) ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดขั้นตอนกระบวนการทำงาน โดยศึกษาการนำ Robotic Process Automation (RPA) มาใช้ ให้ความสำคัญด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงและการสื่อสารในช่วงวิกฤต รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของพนักงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานในวิถีชีวิตปกติใหม่
ทั้งนี้ การออกมาตรการกำกับหุ้นที่มีสัดส่วนรายย่อยน้อยกว่าเกณฑ์ (ฟรีโฟลทต่ำ) ที่มีการซื้อขายและราคาเคลื่อนไหวผิดปกติในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ว่า ขณะนี้ ตลท. ยังคงใช้ขั้นตอนตามมาตรฐานที่มีอยู่อย่างเท่าเทียม พร้อมพิจารณามาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติม โดยยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้วิธีการใด หลังจากที่หารือ กับ ก.ล.ต. แล้วจะแจ้งรายละเอียดอีกครั้งและเตรียมเปิดรับฟังความเห็นให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ดี ยืนยันว่า เกณฑ์ฟรีโฟลทของไทยมีมาตรฐานเดียวกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งตลท.มีการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้จะมีสถานการณ์โควิดตั้งแต่ต้นปีก่อน ตลท. ยังรับมือกับภาวะความผันผวนได้ และมีการออกมาตรการต่างๆ เข้ามาดูแลทำให้ตลาดกลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันยังมีแนวโน้มภาคธุรกิจที่มีความสนใจไอพีโอเข้ามาในปี 2564 แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของข้อมูล ความพร้อมการใช้เงินภาคธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่จะเป็นปัจจัยผลักดันด้วย
ทั้งนี้ การเข้ามาระดมทุนของผู้ประกอบการในปีนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมด้านข้อมูลของบริษัทที่จะเข้ามาระดมทุน ความต้องการใช้เงินทุนของบริษัทว่าอยู่ในช่วงไหน และภาวะตลาดหุ้นในช่วงนั้นเป็นอย่างไร
ส่วนเป้าหมายของบริษัทที่จะดึงดูดเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการส่งเสริมการระดมทุนของธุรกิจใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่อยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ตามนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- คลังเตรียมชง ‘ครม.’ เยียวยาหนี้พื้นที่เสี่ยง 28 จังหวัดสีแดง!!
- ชงครม. เยียวยา ‘นวด สปา’ กว่า 10,000 แห่ง เว้นค่าธรรมเนียมประกอบกิจการรวม 2 ปี
- กทม. เปิดไทม์ไลน์ ‘โควิด’ อีก 24 ราย เจอพื้นที่เสี่ยง ทั้งร้านสุกี้ดัง-ตลาด-รพ.