ครม. รับทราบเป้าหมายนโนบายทางการเงิน “คลัง” คาดตัวเลข “เงินเฟ้อ” ปีหน้าอยู่ระหว่าง 1-3% ระยะกลาง “หนี้สาธารณะ” ถึงปี 68 สูงสุดไม่เกิน 59%
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (22 ธ.ค. 63) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบเป้าหมายนโนบายการเงินประจำปี 2564 ตามที่ กระทรวงการคลัง นำเสนอ โดยมีนโยบายกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไประหว่าง 1-3% เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายการเงินภายใต้กรอบเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น มีเป้าหมายหลักในการักษาเสถียรภาพและได้นำปัจจัยเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาพิจารณาแล้ว
ปัจจัยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ณ เดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ติดลบ -0.9% และคาดว่าการณ์ว่าในปี 2564 อัตราเงินเฟ้อนอยู่ที่ 1% แต่จะตั้งเป้าหมายให้อยู่ระหว่าง 1-3%
รับทราบการจัดทำ “งบฯ รายจ่าย” ปี 65
นอกจากนี้ ครม. เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบบูรณาการประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 11 แผนบูรณาการ ภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
- ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ประกอบด้วยแผนงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และแผนงานการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
- ยุทธศาสตร์การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วยแผนงานการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต, แผนงานบูรณาสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว, แผนงานการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ และแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
- ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ประกอบด้วยแผนงานการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย และแผนงานการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก
- ยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย แผนงานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
- ยุทธศาสตร์การปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ประกอบด้วย แผนงานการบูรณาการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนงานที่รัฐบาลจะเข้าสู่ระบบดิจิทัล (e-Government) ในอนาคต
แต่ละแผนงานจะมีรองนายรัฐมนตรีแต่ละคนดูแลในรายละเอียด
ครม. รับทราบ “หนี้สาธารณะ” ไม่เกิน 59%
นายอนุชากล่าวต่อว่า ครม. ได้เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ระหว่างปี 2565-2568 มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจรองรับสถานการณ์และความเสี่ยง พร้อมลดการขาดดุลและยังคงเป้าหมายระยะยาวจะทำงบประมาณให้สมดุล
ประมาณการเติบโตเศรษฐกิจ คาดว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเป็นดังนี้
- GDP ปี 2565 เติบโต 3-4%
- GDP ปี 2566 เติบโต 2.7-3.7%
- GDP ปี 2567 เติบโต 2.9-3.9%
- GDP ปี 2568 เติบโต 3.2-4.2%
ประมาณการรายได้สุทธิ บนสมมุติฐานว่า การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e-Service), รายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม และการปรับเปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมจากแบ่งปันผลผลิต (PSC) ดังนี้
- ประมาณการรายได้ปี 2565 อยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
- ประมาณการรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 2.49 ล้านล้านบาท
- ประมาณการรายได้ปี 2567 อยู่ที่ 2.619 ล้านล้านบาท
- ประมาณการรายได้ปี 2568 อยู่ที่ 2.75 ล้านล้านบาท
ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP
- ปี 2565 อยู่ที่ 57.6%
- ปี 2566 อยู่ที่ 58.6%
- ปี 2567 อยู่ที่ 59.0%
- ปี 2568 อยู่ที่ 58.7%
เป้าหมายและนโนบายการคลังระยะสั้นและระยะปานกลาง คือ การเพิ่มศักยภาพทางการคลังด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ให้พร้อมสามารถรองรับสถานการณ์และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต เป้าหมายระยะยาวยังกำหนดให้มีการปรับลดการขาดดุลและมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณที่สมดุลในที่สุด
รวมทั้ง ครม. ได้เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ประกอบด้วย 3R คือ
- Reform ปฏิรูปการจัดเก็บรายได้และทบทวนโครงสร้างภาษี เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้
- Reshape ปรับเพื่อควบคุมการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนงานสำคัญๆ รวมทั้งให้ความสำคัญให้องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และปรับลดโครงการที่ไม่จำเป็น
- Resilience บริหารหนี้สาธารณะอย่างมีภูมิคุ้มกันและรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ ได้ กู้เงินที่มีความเสี่ยงต่ำ ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อให้เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของรัฐบาลและเอกชน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ครม.รับทราบสัดส่วนหนี้สาธารณะ 49.34% ชี้ต่ำกว่ากรอบกำหนด
- ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ หนี้สาธารณะไทย พุ่ง 7.8 ล้านล้านบาท
- วิเคราะห์ปี 2564 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.6% ห่วงปัญหาหนี้-3อุตสาหกรรมฟื้นตัวช้า