กรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น ส่อเค้าสูญเสียตำแหน่งมหานครที่มีประชากรมากสุดในโลก ให้กับกรุงจาการ์ตา ของอินโดนีเซียในปี 2573
ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล คาดการณ์ว่า ระหว่างปี 2560-2573 ประชากรในกรุงจาการ์ตาจะเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านคน แตะระดับ 35.6 ล้านคน ตรงข้ามกับกรุงโตเกียว ที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ประชากรจะหดตัวลงราว 2 ล้านคน มาอยู่ที่ 35.3 ล้านคน จากการเข้าสู่สังคมสูงวัย
ส่วนเมืองที่คาดว่าจะมีประชากรมากสุดเป็นอันดับ 3 ของโลกในอีก 12 ปีข้างหน้า คือ เมืองการาจีของปากีสถาน ที่ 32.2 ล้านคน ตามด้วยกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ในอันดับ 4 ที่ 30.4 ล้านคน และกรุงไคโร อียิปต์ ในอันดับ 5 ที่ 29.8 ล้านคน
รายงานระบุว่า ภาวะประชากรเฟื่องฟูจะสร้างความท้าทายให้กับกรุงจาการ์ตา มหานครที่ได้ชื่อว่ามีความแออัดมากสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ในดัชนีความแออัดของทอมทอม
ยูโรมอนิเตอร์ คาดการณ์ด้วยว่า เมื่อถึงเวลาดังกล่าว จะมีมหานครแห่งใหม่อีก 6 เมือง ตามคำจำกัดความที่จะต้องมีประชากรอย่างน้อย 10 ล้านคน รวมถึง นครชิคาโก สหรัฐ กรุงโบโกตา โคลอมเบีย เมืองเชนไน อินเดีย กรุงแบกแดด อิรัก กรุงลวนดา แองโกลา และ นครดาร์เอสซาลาม แทนซาเนีย
แม้มหานครในตลาดเกิดใหม่จะเพิ่มขึ้น แต่มหานครจากประเทศพัฒนาแล้ว ก็จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้น และยังเป็นตลาดผู้บริโภคสำคัญอยู่ในอนาคต ซึ่งยูโรมอนิเตอร์ ประเมินว่า รายได้หลังหักภาษีของผู้คนในมหานครในประเทศพัฒนาแล้ว จะสูงกว่ามหานครในตลาดเกิดใหม่ราว 5 เท่า
“ตลาดบริโภคหลักในอนาคต ยังคงอยู่ในมหานครของประเทศพัฒนาแล้ว ที่สามารถรับประกันในเรื่องรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับความก้าวหน้ามากขึ้นในด้านการเคหะ ดูแลสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง” ฟรันซัว วีเตาตาส ราซวาดาอูสกา นักวิเคราะห์อาวุโส ของยูโรมอนิเตอร์กล่าว
รายงานบอกด้วยว่า ในปี 2573 ราว 9% ของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในมหานครขนาดใหญ่ 39 แห่งทั่วโลก ทั้งการพัฒนาเมืองจะเริ่มเกิดขึ้นในแอฟริกา ส่วนกรุงไคโร อียิปต์ จะผงาดขึ้นมาเป็นเมืองขนาดใหญ่สุดในภูมิภาค ด้วยจำนวนประชากร 29.8 ล้านคน
นอกจากนี้ ยังคาดว่า นครโอซากา ของญี่ปุ่น จะกลายเป็นมหานครที่แก่สุดในโลก ด้วยราว 31% ของประชากรในเมืองจะมีอายุมากกว่า 65 ปี