ในขณะที่อังกฤษใกล้ถึงกำหนดถอนตัวสหภาพยุโรป (อียู) อย่างไร้ข้อตกลงในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ผู้นำอียู และอังกฤษก็ยังไม่มีทีท่าว่า จะตกลงเจรจาการค้าได้ โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษถึงกับระบุว่า “มีความเป็นไปได้สูง” ที่การเจรจาจะล้มเหลว
ทั้งสองฝั่งเตือนประชาชนของตนว่า อาจพบกับ “เรื่องช็อค” รับปีใหม่ เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการค้าระหว่างอังกฤษและอียูครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี
ท่าทีของผู้นำอังกฤษมีขึ้น ในขณะที่การเจรจาพยายามหาข้อยุติคืบหน้าไปอย่างล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดไว้ หลังจากที่การเจรจาระหว่าง เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันล้มเหลวถึง 3 ครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายมีกำหนดหาข้อสรุปการเจรจาให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้ (13 ธ.ค.)
นายกรัฐมนตรีจอห์นสันระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ความสัมพันธ์ของอังกฤษ หลังออกจากอียู จะมีลักษณะเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลีย และอียู ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีการข้อตกลงการค้าเสรีกับอียู แต่ก็บอกด้วยว่า ความเป็นไปได้ดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งอียูเองกลับแสดงความกังวลถึงการเจรจาดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีสเตฟาน ลอฟเวน ของสวีเดน กล่าวว่าเขาค่อนข้างรู้สึกสิ้นหวัง หลังรับฟังสรุปการเจรจากับอังกฤษจากประธานคณะกรรมาธิการยุโรป
ทางด้านเดวิด แซสโซลิ ประธานรัฐสภายุโรป ก็ระบุเช่นกันว่า เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ไม่มั่นใจว่าปัญหาต่างๆ จะได้รับการคลี่คลาย
ทั้งนี้ รัฐสภายุโรปจะต้องอนุมัติข้อตกลงระหว่างอังกฤษและอียู หากทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ โดยการออกจากอียูของอังกฤษอาจทำให้ตำแหน่งงานหลายแสนตำแหน่งตกอยู่ในความเสี่ยง และส่งผลต่อมูลค่าการค้าอีกหลายหมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) อียูเสนอแผนสำรอง 4 แผนเพื่อให้การจราจรทางอากาศ และทางถนน ระหว่างอังกฤษกับอียู ยังดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นที่สุดในช่วง 6 เดือน หลังจากอังกฤษออกจากอียูอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม
อียูยังเสนอด้วยว่า ชาวประมงของทั้ง 2 ฝ่ายควรเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของอีกฝ่ายได้เป็นเวลาอีกหนึ่งปี เพื่อลดความเสียหายทางการค้า แต่แผนสำรองดังกล่าวยังต้องขึ้นกับทางอังกฤษว่าจะเสนอแผนในลักษณะเดียวกันหรือไม่
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การเจรจาระหว่างอังกฤษ กับอียู ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากอังกฤษยืนยันว่าจะไม่ผูกติดกับกฎระเบียบของอียู แม้ว่าอังกฤษจะต้องการส่งออกอย่างเสรีไปยังกลุ่มประเทศอียูก็ตาม ในขณะที่ทางอียูรักษากฎระเบียบดังกล่าวไว้ เพื่อรักษาสภาพตลาดเดี่ยว และเพื่อรับประกันว่า ตลาดของอียูจะอยู่ได้โดยไม่ถูกประเทศอื่นโดยรอบ ที่มีกฎระเบียบทางการค้าต่ำกว่าตัดโอกาสทางธุรกิจ
ในช่วงสี่ปีที่มีการเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขการออกจากอียูของอังกฤษ และความสัมพันธ์ทางการค้าในอนาคต ทั้งฝ่ายอังกฤษและอียู ไม่สามารถสรุปการพูดคุยตามเส้นตายที่เคยกำหนดไว้ไปแล้วหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม การออกจากอียูของอังกฤษในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้จะต่างออกไป เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้ดำเนินการขั้นตอนเปลี่ยนผ่านมาตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ตามข้อผูกพันทางกฎหมาย
การออกจากอียูโดยไร้ข้อตกลงของอังกฤษ จะทำให้มีกำแพงทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าอังกฤษ เป็นการค้ากับกลุ่มประเทศอียู
ประเด็นที่ทั้ง 2 ฝ่าย ยังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้ ครอบคลุมถึง สิทธิการทำประมง กฎการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม และการคลี่คลายข้อพิพาทในอนาคต
แม้ทั้งสองฝ่ายจะต้องการข้อตกลง แต่อังกฤษและอียูก็มีมุมมองในรายละเอียดแตกต่างกัน
อียูกังวลว่า อังกฤษจะลดมาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อัดฉีดเงินให้อุตสาหกรรมภายในประเทศ กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจที่มีกฎระเบียบต่ำ และอาจเป็นคู่แข่งทางการค้าที่ใกล้ตัวของอียูได้ ทำให้อียูคาดหวังให้มีการใช้กฎระเบียบกับอังกฤษ แลกเปลี่ยนกับการที่อียูจะให้อังกฤษทำการค้ากับตลาดอียูได้
ที่มา : VOA
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘บอริส จอห์นสัน’ ลั่นเบร็กซิทต้องเสร็จเดือนหน้า เข้าเฝ้าฯ ควีนขอตั้งรัฐบาลใหม่
- ‘พาณิชย์’ เกาะติด ‘เบร็กซิท’ ชี้หากไร้ข้อตกลงสร้างโอกาสส่งออกไทย
- กลุ่มธุรกิจอียูเตือน ‘เบร็กซิทไร้ข้อตกลง’ สร้างหายนะ