Economics

ฟันธง! เฟดคงดอกเบี้ยระดับเดิม หลังสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด “เฟด” คงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% ตามเดิม ในการประชุม 15-16 ธันวาคมนี้ หลังเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณฟื้นตัว มองเงินบาทอาจแข็งค่าแตะ 29.00-29.25 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปี 2564 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะยังคงมีความระมัดระวัง ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ เนื่องจากสถานการณ์การระบาด ของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นอุปสรรคสำคัญ สำหรับการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งทำให้ประเมินว่า เฟด จะยังคงส่งสัญญาณ พร้อมผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งภาพดังกล่าว จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินดอลลาร์ มีแนวโน้มอ่อนค่า และ กดดันให้เงินบาท มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติมได้ ในช่วงหลังจากนี้

อย่างไรก็ตาม มองว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 – 16 ธันวาคมนี้ จะคงดอกเบี้ยไว้ที่กรอบ 0.00 – 0.25% ตามเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ ยังมีสัญญาณฟื้นตัว แม้เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจบางส่วน ชะลอตัวลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับในช่วงเดือนแรกๆ ที่มีการเริ่มคลายล็อก มาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน นอกภาคเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 245,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 ที่ตลาดแรงงานสหรัฐ เริ่มพลิกฟื้นกลับมาจากผลกระทบโควิด-19

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ทั้งนี้ แม้ตลาดแรงงาน จะมีสัญญาณอ่อนแอลงบ้าง แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แรงกดดัน ที่จะทำให้เฟดจำเป็นต้องเพิ่มเครื่องมือผ่อนคลายทางการเงิน ในการประชุม FOMC รอบนี้ จะยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ ยังประคองทิศทางขยายตัว ไว้ได้ต่อเนื่อง ประกอบกับ มีสัญญาณความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีน สำหรับต้านไวรัสโควิด-19 จากหลายๆ บริษัทที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการประชุมเฟดในรอบก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตา ในการประชุมเฟดรอบนี้ คือ รายละเอียดของแนวทางสำหรับโครงการซื้อสินทรัพย์และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐที่เฟดจะปรับทบทวนใหม่

จากบันทึกการประชุมรอบก่อน และท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟดสะท้อนว่า ในการประชุม FOMC รอบนี้ เฟดมีแนวโน้มคงวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่อเดือน (8.0 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และ 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับ Mortgage-backed Securities) ไว้ตามเดิม แต่เฟดน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดของแนวทางการดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ระยะข้างหน้า (Forward Guidance)

โดยเฉพาะเงื่อนไขอายุของพันธบัตร ที่ซื้อและกรอบเวลาของมาตรการ QE จากเดิมที่เฟดระบุเพียงว่า จะซื้อสินทรัพย์ภายใต้วงเงินดังกล่าวต่อไป “ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า” เท่านั้น นอกจากนี้ เฟดอาจมีการปรับทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ ในปี 2565-2566 ตามอานิสงส์จากวัคซีน แต่จะยังคงมีมุมมองระมัดระวัง ต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2564

สัญญาณพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดต่อเนื่อง จะยังส่งผลกดดันทิศทางเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง และหนุนให้เงินบาทและสกุลเงินในเอเชียอื่นๆ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากนับเฉพาะในช่วงประมาณกว่า 1 เดือนหลังการเลือกตั้งสหรัฐสิ้นสุดลง (3 พ.ย.-9 ธ.ค. 2563) จะพบว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วประมาณ 3.7% และกำลังเข้าทดทดสอบแนว 30.00 บาทต่อดอลลาร์ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ท่ามกลางสัญญาณเงินทุนไหลเข้า โดยนักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยรวมกันประมาณ 6.38 หมื่นล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มีความเป็นไปได้ ที่จะยังคงเห็นเฟดส่งสัญญาณ พร้อมผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมภายในไตรมาส 1/2564 เนื่องจากความเสี่ยงจากโควิด-19 กำลังเลวร้ายลงจนทำให้หลายรัฐต้องมีการประกาศมาตรการควบคุมสถานการณ์ และเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงต้องรอแรงกระตุ้นจากมาตรการฝั่งการคลังที่คงจะเริ่มมีผลจริงต่อเศรษฐกิจภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ

ดังนั้น สำหรับผลต่อไทย ที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด น่าจะอยู่ที่แรงกดดันต่อค่าเงินบาท ซึ่งมีโอกาสแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติมในปีหน้า โดยคาดว่า เงินบาทอาจทยอยแข็งค่าไปที่ระดับ 29.00-29.25 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปลายปี 2564 ท่ามกลางแรงหนุนจากปัจจัยที่อ่อนแอของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะแนวโน้มการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของเฟดเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและประคองเศรษฐกิจสหรัฐ และจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่เกิดจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและความเป็นไปได้ที่จะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดการเงินในเอเชียและไทยต่อเนื่อง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo