Finance

10 อันดับ SSF ผลตอบแทนสูงสุด เหลือเวลา 3 สัปดาห์ ‘ลงทุนกองไหนดี?’

อีก 3 สัปดาห์จะสิ้นปี ในขณะที่ตลาดหุ้น ยังไม่มีทีท่าจะลง หรือ ปรับฐานลงมา เช่นเดียวกับบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งทะยานทุบสถิติใหม่ไปเรียบร้อยโรงเรียน “ไบเดน”

ยิ่งหุ้นยังไม่มีทีท่าจะปรับลง คำถามจาก “มนุษย์เงินเดือน” หรือ คนที่สนใจลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีประเภท SSF ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ มีคำถามตามมาแทบทุกวันว่า “จะซื้อเมื่อไหร่ดี” เพราะจะสิ้นปีอยู่แล้ว แต่หุ้นก็ยังไม่ยอมลง

สำหรับคนที่ซื้อแบบ “ถัวเฉลี่ย” หรือ DCA อาจจะไม่ทุกข์ร้อน เพราะเมื่อประเมินแล้ว หากซื้อทุกสิ้นเดือน ต้นทุนถัวเฉลี่ยในปีนี้ถือว่าได้ “ต่ำ” เป็นพิเศษ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ของปีนี้เคลื่อนไหวในระดับ 1,200-1,300 จุด แต่สำหรับคนที่รอซื้อทีเดียวในช่วงปลายปี อาจจะคิดหนักว่าจะซื้อเท่าไรดี หรือ จะไม่มากนัก แต่ไปรอไปซื้อปีหน้า

สำหรับกองทุน SSF (Super Saving Funds) คงไม่ต้องแนะนำกันมากว่าคืออะไร  เป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่าออกมาทดแทน LTF ที่ยกเลิกไปแล้ว แต่ที่ต้องรู้ คือ SSF จะขายคืนโดยไม่ต้องถูกสรรพากรเรียกคืนภาษีต้องถือครบ 10 ปี ซึ่งมากกว่า LTF ที่ขายคืนได้เมื่อครบ 7 ปี โดยผู้ที่ลงทุนใน SSF จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่ปีภาษี 2563-2567

แต่การลงทุน SSF เปิดกว้างกว่าเดิม กล่าวคือ ลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้เมื่อรวมกับบรรดากองทุนอื่น ๆ อาทิ กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ ไม่เกิน 500,000 บาท

ที่ดีกว่าเดิม คือ ไม่กำหนดลงทุนขั้นตํ่าในการซื้อต่อปี และไม่บังคับว่าต้องซื้อต่อเนื่อง

อ่านเพิ่มเติม : เทียบชัดๆ! กองทุน SSF ดีกว่า LTF จริงไหม? 

ทีนี้ ลองไปดูผลดำเนินงานของบรรดากองทุน SSF ที่มีอยู่ 88 กองทุน เป็นอย่างไร หลังจากกระทรวงการคลังให้มีการจัดตั้งได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดย 10 อันดับแรก ที่มีผลตอบแทนดีที่สุด จาก wealthmagik ที่ทำการจัดอันดับรวม 88 กองทุน ดังนี้

อันดับ SSF

กองทุนเปิดกรุงไทยมั่งคั่ง ชนิดเพื่อการออม หรือ KTMUNG-SSF  มีอัตราผลตอบแทนค่อนข้างสูง 10.16% โดยมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ กองทุน property (กองทุนปลายทาง) ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงผลตอบแทนสูง เพราะจากนโยบายลงทุนจะเห็นว่าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและโควิด-19 ไม่มากนัก 

กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี เพื่อการออม (ชนิดเพื่อการออม) หรือ KTESGS-SSF มีอัตราผลตอบแทน 7.75% โดยกองทุนมีนโยบายกระจายการลงทุนในตราสารแห่งทุน ตราสารแห่งหนี้ ตราสารกึ่งหนี้ กึ่งทุน เงินฝาก และหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งจะเห็นว่ามีการกระจายลงทุนในหลักทรัพย์หลายประเภท และบางประเภทเจอผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจ

กองทุนเปิดกรุงไทยมีทรัพย์ ชนิดเพื่อการออม หรือ KTMEE-SSF มีอัตราผลตอบแทน 6.85% โดยกองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ กองทุน property (กองทุนปลายทาง) ทั้งในและ ต่างประเทศ ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนปลายทางดังกล่าวมีนโยบายลงทุนทั้งในตราสารทุน

กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเพิ่มค่าหุ้นระยะยาว กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ MVSSF มีอัตราผลตอบแทน 5.87% โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือมีราคาของหลักทรัพย์ที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน (Value stocks)

กองทุนเปิดกรุงไทยศรีสิริ ชนิดเพื่อการออม หรือ KTSRI-SSF  มีอัตราผลตอบแทน 3.98% กองทุนมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ กองทุน property (กองทุนปลายทาง) ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนปลายทางดังกล่าวมีนโยบายลงทุนทั้งในตราสารทุน ซึ่งมีนโยบายลงทุนเหมือนกับ KTMEE-SSF

กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 90 เพื่อการออม หรือ BCAP-GW90 SSF มีอัตราผลตตอบแทน 2.84% มีนโยบายการลงทุนแบบผสม โดยจะลงทุนในทรัพย์สินทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือ

1. ตราสารหนี้และหรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารหนี้

2. ตราสารทุน และหรือหน่วยลงทุนกองทุนรวมตราสารทุน

3. หน่วยลงทุนของกองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก

4. หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 75 เพื่อการออม หรือ BCAP-GW75 SSF มีอัตราผลตอบแทน 2.57% มีนโยบายลงทุนคล้ายกับ BCAP-GW90 SSF เพียงแต่กำหนดสัดส่วนการลงทุนต่างกัน โดยลงทุนในทรัพย์สินตาม 2 – 4 รวมกันโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

กองทุนเปิดกรุงไทยสุขใจ ชนิดเพื่อการออม หรือ KTSUK-SSF มีอัตราผลตอบแทน 1.93% มีนโยบายลงทุนลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ กองทุน property (กองทุนปลายทาง) ทั้งในและ ต่างประเทศ ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ปลายทางดังกล่าวมีนโยบายลงทุนทั้งในตราสารทุน ตราสารหนี้ทรัพย์สินทางเลือก

กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 50 เพื่อการออม หรือ BCAP-GW50 SSF มีอัตราผลตอบแทน 1.93% เป็นกองทุนมีนโยบายการลงทุนแบบผสม โดยจะลงทุนในทรัพย์สินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังต่อไปนี้

1. ตราสารหนี้และหรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารหนี้

2. ตราสารทุน และหรือหน่วยลงทุนกองทุนรวมตราสารทุน

3. หน่วยลงทุนของกองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก

4. หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และหรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และหรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

กองทุนเปิดกรุงไทย 70/30 เพื่อการออม (ชนิดเพื่อการออม) หรือ KT70/30S-SSF มีอัตราผลตอบแทน 1.18% มีนโยบายลงทุนที่เน้นไปที่ตลาดทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และจะพิจารณาลงทุนใน ตราสารแห่งทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 70% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

เมื่อพิจารณาจากผลดำเนินการของกองทุน จะเห็นว่ามีนโยบายการลงทุนคล้ายๆ กัน บรรดา 10 กองทุนเหล่านี้มีอัตราผลตอบแทนเป็น “บวก” และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลจากทั้งหมด 88 กองทุน มีเพียง 13 กองทุนเท่านั้นที่มีผลตอบแทนเป็นบวก โดยกองทุนส่วนใหญ่ที่ออกมาในช่วงกลางปี ซึ่งเป็นช่วงตลาดผันผวน และส่วนใหญ่กองทุนจะลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ทำให้ติดลบกันถ้วนหน้า ตามภาวะตลาด

คำถามสำหรับคนที่จะซื้อ SSF ในปลายปีจะทำอย่างไร? คำตอบก็คือ “ซื้อไปเลย” ไม่ว่าจะกองทุนมีนโยบายการลงทุนอย่างไร ไม่ต้องรอตลาดหุ้น หากมีความพร้อม เพราะอย่าลืมว่าอีก 10 ปี กว่าจะขายคืนได้โดยไม่เสียภาษี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอ ทำให้ผลตอบแทนที่ได้จริงไม่ต่างกันมากนัก หากเทียบกับกองทุนที่มีลักษณะคล้ายๆกัน

ที่สำคัญเดี๋ยวนี้ก็สับเปลี่ยนกองทุน ทำได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้นคำถามที่ต้องถามตัวเองคือ ชอบประเภทไหน “เสี่ยงมาก-เสี่ยงน้อย” และต้องจำไว้เสมอว่า “ผลตอบแทนที่ผ่านมา” ไม่ได้เป็นหลักประกันใดๆว่าปีหน้าจะดีเหมือนเดิม

ยิ่งคนที่รู้ “จังหวะ”การลงทุน ต้องมีความเข้าใจตลาดแต่ละประเภทก็ยิ่งได้เปรียบ ไม่จำเป็นต้องอาศัย DCA เพราะดีไม่ดี ในปีนี้ กองหุ้นอาจให้ผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น หากตลาดฟื้นในปีหน้าตามที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์

อ่านข่าวเพิ่มเติม :

Avatar photo