ก่อนสิ้นปี และก่อนที่ลมหนาวจะพัดผ่านไป ผมอยากพาทุกท่านมาที่ “กาญจนบุรี” ที่ที่ให้เราได้อยู่กับตัวของตัวเอง ทบทวนทุกสิ่งอย่างที่ผ่านมาตลอดทั้งปีอย่างแท้จริง ทบทวนสิ่งที่เราได้พบเจอต่างๆ ภัยพิบัติ ความสุข ความทุกข์ ความรัก ความหวัง และทุกๆอย่างที่เรา และโลกจะเดินทางร่วมกัน
สำหรับผม ภัยพิบัติใดใดอาจเป็นส่วนนึงที่ทำให้ใจเรา หวาดกลัวและหวั่นไหว แต่ผมอยากให้ความมั่นใจกับทุกท่าน ในสัญลักษณ์ “SHA” ที่ออกโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่บ่งบอกถึงความปลอดภัยทางด้านต่างๆตามมาตรฐาน กระจายทั่วทุกสถานที่ที่ผ่านเกณฑ์รับรอบ ส่วนนี้ จึงอยากให้ทุกท่านสบายใจกันได้ ในระดับหนึ่งครับ
มาตราฐานความปลอดภัยอีกส่วนนึง ผมอยากให้ทุกท่าน เริ่มที่ตัวเราครับ ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง อยากให้ทุกท่านพก เจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัย ใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร ให้ความร่วมมือต่อการตรวจวัดอุณหภูมิ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเกิดผลดีทั้งต่อตัวเราและผู้อื่นแน่นอนครับ
ส่วนการตอบแทนสังคมทางด้านอื่นๆ ผมขอแนะนำเป็นการใช้ถุงผ้าเพื่อลดภาวะโลกร้อน และ การปฏิบัติตามกฏบ้านกฏเมืองนั้นๆ ในฐานะผู้มาเยือนที่ดี
มาในส่วนของจุดเช็คอินทั้ง 5 จุด ที่ผมอยากชวนทุกคนมาดื่มด่ำด้วยกัน โดยทั้ง 5 สถานที่นี้รับรองว่า กลมกล่อม ละมุนละม่อมทุกรสชาติแน่นอนครับ มีที่ไหนกันบ้าง ตามมาเลย
จุดเช็คอินที่ 1 “หมู่บ้านอิต่อง ปิล๊อก”
เป็นจุดแรกที่ผมเลือกถอดเป้บนหลัง และวางลง พร้อมชมทัศนียภาพรอบเมือง ผมมาถึงตอนเย็นจรดพลบค่ำ อากาศที่ดีเย็นสบาย ผมเดินผ่านบ่อน้ำใหญ่ ข้ามสะพานและมีป้ายไม้ห้อยเต็มระเบียงสะพาน ทุกข้อความที่ผ่านสายตาผม บอกเล่าความสุขของผู้คนที่มาเยือนได้เป็นอย่างดี
เดินถัดมาอีกนิด ผมได้พบกับร้านขายของฝาก ร้านอาหาร ขายเสื้อผ้าพื้นเมือง และโฮมสเตย์มากมายเรียงรายยาวสุดสายเส้นน้ำ รวมทั้งผู้คนทั้งชาวไทยและเมียนมาร์ ที่อยู่ร่วมกันและต่างพูดได้ทั้งสองภาษา ถือเป็นวิถีและวัฒนธรรมที่มีมาเนิ่นนาน แลดูน่ารัก เมื่อต่างพยายามจะใช้ภาษาของกันและกัน สื่อสารให้ตรงความหมายมากที่สุด
จุดนี้ทำให้ผมฉุดคิดว่า ขนาดเราบางคนใช้ภาษาเดียวกัน ยังมีความขัดแย้งกันได้เลย หรือเราควรทิ้งอัตตา และมาใช้ชีวิตแบบช้าๆลงบ้าง อาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ก็อาจเป็นได้นะครับ
ยามค่ำคืนที่หมู่บ้านอิต่อง ก็มีร้านอาหารที่เหมาะกับบรรยากาศ เช่น ร้านหมูกระทะร้อน ทานบนดาดฟ้าชมดาวไปด้วย บรรยากาศดีทีเดียวครับ ดาวชัดมากๆ มีความสุขมากๆ ในค่ำคืนที่หมู่บ้านอิต่องครับ เสร็จแล้วรีบพักผ่อน ตื่นมา เราจะไปยังจุดเช็คอินที่ 2 กันครับ
จุดเช็คอินที่ 2 “เนินช้างศึก”
เนินช้างศึก ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาที่สวยที่สุดของกาญจนบุรีเลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งบริเวณนี้เอง เราจะเห็นทิวทัศน์ ฝั่งไทยและพม่า และในยามเช้าช่วงฤดูหนาว ก็จะเห็นเป็นทะเลหมอก รายล้อมภูเขา สวยงามมากๆ เป็นที่ที่คุ้มค่าที่จะยอมตื่นเช้าๆ เพื่อมารับแสงจากอาทิตย์ และรับสุขจากวิวหลักล้าน ที่อยู่ตรงเบื้องหน้าจริงๆครับ สำหรับการเดินทางมา ก็จะมีรถสองแถวสีเหลือง ที่เขียนว่า “ตลาดทองผาภูมิ, อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ, บ้านอีต่อง” รถจะมารอเช้ามากๆ ครับ ไปให้ทันเป็นพอ ฮ่าๆ
จุดเช็คอินที่ 3 “วัดพระธาตุเหมืองปิล็อก”
วัดพระธาตุเหมืองปิล็อค อยู่บริเวณด้านบนของเหมืองปิล็อก มีความสวยงามแฝงด้วยศิลปะพม่า มีบันไดยาวๆ ให้เราได้เดินขึ้นไปชิลล์ๆ พร้อมชมวิวทิวทัศน์ โดยเราจะมาหยุดด้านบนที่เป็นพระธาตุ เพื่อสักการะบูชา
สำหรับผมที่นี่มีความเก่าแก่และมีมนต์ขลัง มีความสวยงามอย่างบอกไม่ถูก นอกจากควรมาศึกษาเรียนรู้ มาไหว้พระแล้ว หากอยากให้วัดแห่งนี้ อยู่คู่กับสถานที่ท่องเที่ยวเช่นปิล็อกต่อไป ทำบุญด้วยปัจจัย และเชิญชวนผู้คนให้มา ก็ถือเป็นการทำนุบำรุงให้ศาสนาอยู่คู่กับเราด้วยเช่นกันครับ ลองแวะมานะครับ
จุดเช็คอินที่ 4 “น้ำตกจ๊อกกระดิ่น”
ความงามของสถานที่แห่งนี้ คือการที่น้ำตกแทรกไหลผ่านผาหินที่สูงด้วยความแรง ไหลบนพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มากนักจากความสูงของน้ำตก 34 เมตร และพื้นน้ำมีชั้นสีที่ต่างกันเห็นได้ชัด จากความตื้น สู่ความลึก 3-4 เมตร
ผมขอหมายเหตุกับสถานที่แห่งนี้ไว้นิดนึง คือ ณ ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงสถานการณ์เฝ้าระวังไวรัสโคโรน่า เราจึงยังไม่สามารถลงเล่นน้ำได้นะครับ เป็นกฏที่เข้มงวดมาก ฉะนั้น การมาสถานที่แห่งนี้คือ เข้ามาชมธรรมชาติเฉยๆ หรือจะถ่ายรูปบนโขดหินที่มีพื้นหลังเป็นภาพน้ำตก ก็มีความสุขมากแล้วครับ
โดยรอบก็จะมีสัตว์ป่าเช่น ไก่ฟ้า ที่เดินหากินตามธรรมชาติของเขา ออกมาให้เราเห็นอยู่บ้าง อีกทั้งต้นไม้พันธุ์สวยงามที่ทางอุทยานเพาะเลี้ยงไว้ ก็จะมีป้ายความรู้ให้เราได้อ่าน เก็บเกี่ยวข้อมูลได้ดีเลยครับ ถือเป็นแหล่งการศึกษาจากธรรมชาติอย่างแท้จริง
จุดเช็คอินที่ 5 “เนินช้างเผือก”
ที่นี่เป็นจุดชมวิวอีกจุดที่เราจะสามารถเห็นทัศนียภาพโดยรอบ ทั้งภูเขา แม่น้ำ ที่สลับซับซ้อนกัน อีกทั้งยังเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ขนานแท้เลยครับ ที่นี่มีต้นไม้แปลกๆมากมายที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
จุดนั่งพัก และลมแรงๆ ทำให้ผมอยากทิ้งตัวลง แบบไม่สนใจเวลา อยากจะสูดกลิ่นไอดิน กลิ่นใบไม้ เก็บไว้ให้มากที่สุด ก่อนการเดินทางครั้งนี้จะจบลง
ก่อนกลับบ้าน ผมได้แวะจุดของฝาก ที่มีผลไม้สดเต็มแผง พร้อมพกถุงผ้าคู่ใจ เอาไว้ช็อปปิ้งสินค้า รวมทั้งร้านอาหาร ที่มีขนมทองโย๊ะ(ภาษากระเหรี่ยงเรียก หมี่สิ) ที่เป็นขนมพื้นเมืองของทองผาภูมิ ทำจากข้าวเหนียวนึง งาคั่ว และเกลือโขลกรวมกัน ทานคู่นมสด ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ ก่อนกลับบ้าน แวะให้ได้เลยนะครับ
สำหรับวันนี้ การเดินทางคงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ ไม่นานนัก คงได้กลับมาเล่าเรื่องราวกันใหม่
#Amazingไทยเท่ #เที่ยวไทยเที่ยวง่ายสนุกทุกทริป
ที่มา : เฟซบุ๊กเพจ Fighting Duo
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สระบุรี’ เที่ยวธรรมชาติ ชมวัฒนธรรม ประทับจิต ประทับใจ
- เที่ยวง่าย เที่ยวใกล้ เที่ยว ‘อยุธยา’
- ‘เมืองสายน้ำสามเวลา’ สมุทรสงคราม ไม่ได้มีดีแค่ตลาดน้ำ