Economics

รัฐบาลปลื้ม ‘เอสแอนด์พี’ มองไทยน่าเชื่อถือ ชี้ศก.โตปี 64 ตามแนวคิด ‘ล้มแล้วลุกไว’

 

รัฐบาลปลื้ม “เอสแอนด์พี” คงความน่าเชื่อถือไทยไว้ใน ระดับมีเสถียรภาพ  เชื่อมั่นเศรษฐกิจเติบโตได้ดีปี 2564 มุ่งเป้าหมายตามแผน “ล้มแล้วลุกไว”

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวันนี้ (29 พ.ย.)ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานที่ บริษัท S&P Global Ratings (S&P) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็ง ภาคการคลัง และภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง

IMG 37131 20201129093200000000

นอกจากนี้ หนี้รัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล และสถานการณ์ ทางการเมืองปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วง 1 – 2 ปี ข้างหน้า

ส่วนภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง เป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ แม้ว่าการดำเนินนโยบายการคลังผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

จะทำให้การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 – 2564 และหน้ีของรัฐบาลเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ยังคงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานภาพทางการคลัง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท

มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับร้อยละ 49.34 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 และเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ S&P เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว และเติบโตในระยะปานกลางได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย ในปี 2564 จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น เป็นผลจากการภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ

อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Public Private Partnership) เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ

นอกจากนี้ ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสภาพคล่องและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดย S&P คาดว่าสภาพคล่องต่างประเทศ (External liquidity) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับคงท่ีและไม่น่ากังวล นอกจากน้ี การดำเนินนโยบายทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ S&P ให้ความสนใจและติดตามอย่างใก้ลชิดคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง และเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะถัดไปรัฐบาลจะมุ่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้รักษาระดับการจ้างงานภายในประเทศ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และมีความยั่งยืนต่อไป ตามแนวคิด “ล้มแล้วลุกไว” หรือ Resilience ของรัฐบาล ที่ได้กำหนดเป้าหมาย เพื่อให้คนไทยสามารถยังชีพอยู่ได้ มีงานทำ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น มุ่งให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ผ่านมาตรการต่างๆของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

Avatar photo