ส่งออกเดือนต.ค. ตดลิบ 6.71% รวม 10 เดือน ติดลบ 7.26% ตลาดหลักขยายตัว 4.8% ตลาดสหรัฐโตสุด 17% คาดแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากวัคซีนโควิด-19 หนุนตลาดส่งออกฟื้น
กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าส่งออกไทยในเดือนต.ค. 2563 มีมูลค่า 19,376.68 ล้านดอลลาร์ หดตัว 6.71% นำเข้ามูลค่า 17,330.15 ล้านดอลลาร์ ลดลง 14.32% เกินดุลการค้า 2,046.53 ล้านดอลลาร์
รวม 10 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออกมีมูลค่า 192,372.77 ล้านดอลลาร์ หดตัว 7.26% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 169,702.56 ล้านดอลลาร์ หดตัว 14.61% ส่งผลให้ 10 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 22,670.21 ล้านดอลลาร์
แนวโน้มการส่งออกของไทยส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี หลายสินค้ามีศักยภาพในการขยายตัวแม้เผชิญกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายประเทศ นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ทำให้ทราบถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายของว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ
คาดว่าจะช่วยให้สถานการณ์การค้าโลกมี ความผันผวนน้อยลง อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ขยายตัวในขณะนี้เป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่ขยายตัวดีอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นสินค้าศักยภาพท่ามกลางโควิด-19 อาทิ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาด หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งจะสามารถขยายตัวต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
แต่เมื่อโลกสามารถผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ได้สำเร็จความต้องการสินค้าเหล่านี้อาจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้น การเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยในระยะถัดไป จำเป็นต้องขยายตลาดในสินค้ากลุ่มใหม่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง
ตลาดส่งสำคัญอยู่ยังในทิศทางฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป มูลค่าการส่งออกในหลายตลาด ปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน และหลายตลาดกลับมาขยายตัวในระดับสูง ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ ดังนี้
- ตลาดหลัก ขยายตัว 4.8% ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวดีต่อเนื่อง 17.0% สหภาพยุโรปปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนมาก โดยหดตัว 0.4% ขณะที่ญี่ปุ่นหดตัว 5.3%
- ตลาดศักยภาพสูง หดตัว 13.5% โดยการส่งออกไปตลาดจีน อาเซียน และ CLMV หดตัว 6.1% , 27.2% และ 17.0% ตามลำดับ ขณะที่เอเชียใต้กลับมาขยายตัว 15.6%
- ตลาดศักยภาพระดับรอง หดตัว 2.8% โดยตลาดตะวันออกกลาง ทวีปแอฟริกา และรัสเซีย และกลุ่มประเทศ CIS หดตัว 18.1%, 16.7% และ 2.0% ขณะที่การส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน 4.2% และลาตินอเมริกากลับมาขยายตัว 12.9%
สินค้าที่ขยายตัวได้ดียังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตต่อเนื่อง 3 กลุ่มหลัก คือ
- สินค้าอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง สิ่งปรุงรสอาหาร
- สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วน เตาอบไมโครเวฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และโซลาร์เซลล์
- สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาด ทำให้ความต้องการยางพาราในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลดีต่อราคายางพาราของไทยในช่วงนี้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โควิดฉุดยอดส่งออกรถยนต์เดือน ต.ค. วูบ 16.57%
- ‘พาณิชย์’ วิเคราะห์นโยบาย ‘ไบเดน’ มองเห็นโอกาส ‘ส่งออก-ดึงดูดลงทุน’
- วันประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก! ‘นายกฯ-จุรินทร์’ ลงนาม RCEP หนุนส่งออกไทย