อินโดนีเซีย คู่แข่งสำคัญของไทยในอุตสาหกรรม รถยนต์ไฟฟ้า จากมีแหล่งผลิตแร่นิกเกิล จำนวนประชากร ด้านไทยได้เปรียบห่วงโซ่อุปทาน ชิ้นส่วนรถยนต์
การเติบโตของ รถยนต์ไฟฟ้า เริ่มขยายมายังประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะการลงทุนเข้ามายังไทยและ อินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันไทยยังได้เปรียบอินโดนีเซีย จากความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนรถยนต์ และความสามารถในการผลิตให้เกิด Economies of Scale หรือระดับการผลิตที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ที่สูงกว่า
ทว่าความได้เปรียบดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากอินโดนีเซีย สามารถก้าวขึ้นมาเป็นฐานผลิตแบตเตอรี่ Li-ion ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ การที่อินโดนีเซีย เป็นแหล่งผลิตแร่นิกเกิล รายใหญ่ของโลก โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 1 ใน 4 ส่งผลให้นักลงทุนจากจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ แสดงความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ Li-ion ไทยจึงเสียเปรียบอินโดนีเซียในปัจจัยนี้ค่อนข้างมาก
ขณะที่การลงทุนด้านแบตเตอรี่ในไทย ทำได้เพียงการนำเข้าเซลล์แบตเตอรี่มาประกอบ และมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ Ni-MH ที่รองรับได้เพียงรถยนต์ไฮบริด ของบางค่ายรถเท่านั้น
นอกจากนี้ ด้วยจำนวนประชากรในประเทศ ที่กำลังซื้อรถยนต์มีมากกว่า โดยอินโดนีเซีย มีจำนวนประชากรผู้ใหญ่ ที่มีมูลค่าของทรัพย์สินเกินกว่า 1 แสนดอลลาร์ฯ อยู่ 1.87 ล้านคน ขณะที่ไทยมีเพียง 1.26 ล้านคน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มียอดขายรถยนต์ในประเทศมากที่สุดในอาเซียน โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อปี สูงเกินกว่า 1 ล้านคันแล้ว และกำลังการผลิตรถยนต์ของอินโดนีเซีย ก็ขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เพื่อป้องกันการสูญเสียแรงดึงดูดในการลงทุน ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ไปให้กับอินโดนีเซีย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ไทยควรเร่งปรับยุทธศาสตร์ เพื่อพัฒนาจุดแข็งเดิมที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 5 ปี ถัดจากนี้ ด้วยการสร้างห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะไม่สามารถผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้ แต่ไทยอาจดึงดูดให้เกิดการลงทุนในประเทศ สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมกระแสไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ประกอบแบตเตอรี่อื่นๆ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนต้นทุนการผลิตรถยนต์ แบบแบตเตอรี่ เป็นหลัก (BEV) ถึง 25%
พร้อมกันนี้ ไทยควรเร่งสร้างโอกาสส่งออกรถยนต์ BEV ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อชดเชยกับขนาดตลาดในประเทศที่เล็กกว่าอินโดนีเซีย โดยการเร่งกระบวนการทำ FTA กับสหภาพยุโรป และเข้าร่วมกลุ่ม CPTPP เพื่อหาตลาดต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ควรเร่งพัฒนาขีดความสามารถ ในการเป็นประเทศที่มีต้นทุนการขนส่งรถยนต์เพื่อส่งออกที่ต่ำ ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้การขนส่งรถยนต์ ไปตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป สามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น
ล่าสุด ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ได้เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการลงทุนการผลิต EV รอบใหม่ ครอบคลุมการส่งเสริม EV ทุกประเภท ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสารและรถบรรทุก รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่เป็นหลัก (Battery Electric Vehicles: BEV) ให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมควบคู่ไปด้วยกันได้
สำหรับการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
ทั้งนี้ จะมีได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 หรือมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา หากมีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicles (PHEV) ด้วย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า อย่างน้อย 3 ชิ้น
2. กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า แบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
3. กิจการผลิตสามล้อไฟฟ้า แบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
4. กิจการผลิตรถโดยสารไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า แบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- นายกฯ ดันไทยเป็นฐานผลิต ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ปิ๊งไอเดีย! นำร่องใช้ในหน่วยราชการ
- ตื่นเต้น! ส.อ.ท.เผยยอดขายรถยนต์ในประเทศดีขึ้น คาดทั้งปีโตตามเป้า
- จีนจ่อขึ้นแท่น ‘ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า’ ใหญ่สุดอีกครั้งสิ้นปีนี้