‘วิลาศ” พบรถป้ายแดงผิดปกติ หลังมีการส่งคืนพื้นที่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ท่าพระ-บางแค ถ.จรัญฯ – เพชรเกษม ถูกปะด้วยแอสฟัลท์ สร้างภาระให้ กทม. ต้องโปะซ่อมหลุมบ่อตลอดเส้น
วันนี้ (15 พ.ย.) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานกรรมาธิการปปช. แถลงข่าวกรณีสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายว่า การก่อสร้างดังกล่าว เป็นการทำสัญญาระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยจะต้องมีการส่งมอบพื้นที่ หลังจากที่ก่อสร้างเสร็จ ดังนั้นหากมีความเสียหายเกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบเฉพาะ กทม. กับ รฟม. เท่านั้น
ขณะนี้ การก่อสร้างส่วนต่อขยายดำเนินการเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการส่งคืนพื้นที่ กล่าวคือ ในสัญญาระบุว่า หลังจากก่อสร้างเสร็จ การส่งมอบพื้นที่คืน จะต้องอยู่ในสภาพเดิม ซึ่งตลอดถนนจรัญสนิทวงศ์ จากพระราม 7-ท่าพระ และ ถนนเพชรเกษม ท่าพระ-หลักสอง เดิมเป็นถนนคอนกรีต ดังนั้น ในการส่งมอบคืนพื้นที่ ก็จะต้องส่งคืนในสภาพถนนคอนกรีต
แต่หลังจากลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่า ขณะนี้ ช่วงถนนจรัญสนิทวงศ์ พระราม7- ท่าพระ มีการปรับปรุงให้เป็นถนนคอนกรีตเหมือนเดิม แต่จากสถานีจรัญสนิทวงศ์ 13 ถึงสถานีท่าพระ ซึ่งอยู่ในถนนจรัญสนิทวงศ์ และจากสถานีท่าพระ ไปจนถึงสถานีหลักสอง ในถนนเพชรเกษม กลับเทยางแอสฟัลท์ แทนที่จะปรับปรุงให้เป็นคอนกรีตตามสัญญา
“เราก็รู้ว่าคอนกรีต กับแอสฟัลท์นั้น ราคามันต่างกันพอสมควร ผมได้ประสานไปยัง รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา เพื่อทักท้วงเรื่องการเทยาง ในเมื่อถนนเดิมเป็นคอนกรีต และสัญญาเป็นอย่างนั้น รองผู้อำนวยการสำนักการโยธาตอบว่า มีปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนเพชรเกษม ดังนั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน จึงเทยาง ผมบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้เรียกเงินมาก้อนนึงไว้ซ่อม ผมพูดไปก็ยังไม่มีคำตอบอะไร”
นายวิลาศ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในเมื่อถนนจรัญสนิทวงศ์ ช่วงจากสถานีจรัญสนิทวงศ์ 13 ไปถึงพระราม 7 ยังสามารถปรับคืนถนน ให้เป็นคอนกรีตเหมือนเดิมได้ แล้วทำไมในถนนเส้นเดียวกัน มีการจราจรติดขัดเหมือนกัน กลับเป็นการเทยางแอสฟัลท์ จึงได้สอบถามไปยัง รองผู้อำนวยการสำนักการโยธาอีกครั้ง ก็ได้คำตอบว่า เนื่องจากถนนเพชรเกษมก่อสร้างมานานแล้ว และต้องปรับปรุงซ่อมแซมใหญ่ จึงให้เทแอสฟัลท์ทับไป
ด้วยคำตอบที่ไร้หลักดังกล่าว จึงได้แจ้งกับรองผู้อำนวยการสำนักการโยธาว่า ในเรื่องนี้ ตนจะดำเนินการตรวจสอบอย่างเต็มที่
การรับมอบถนน ที่ปูด้วยแอสฟัลท์ ทำให้เกิดปัญหาเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้ กทม. เสียผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพผิวถนน ที่เป็นหลุมเป็นบ่อหลังจากฝนตก ซึ่งเกิดจากการปูแอสฟัลท์ ที่มีความหนาน้อยกว่า 2 ซม. ส่งผลให้ กทม. ต้องดำเนินการซ่อมแซมผิวถนนเป็นรายวัน
นอกจากนี้ การปูแอสฟัลท์ปิดทับพื้นถนนเดิมที่ชำรุด เนื่องจากการก่อสร้าง และบริเวณปากซอยจรัญฯ 40 มีการลอดท่อ เมื่อมีการปูแอสฟัลท์ทับ ทำให้สภาพถนนเป็นเนิน ส่งผลให้การขับขี่บริเวณดังกล่าว อาจเกิดอันตรายได้ การปูแอสฟัลท์ลักษณะนี้ จะส่งผลให้ กทม. ต้องดำเนินการซ่อมแซมผิวถนนอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเกิดการหลุดร่อน เป็นหลุมเป็นบ่อตลอดเส้นทาง
จากการที่ลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติม ยังพบว่า เดิมนั้น ถนนเพชรเกษมมีไฟกลางถนน แต่ปัจจุบันเหลือไฟกลางถนน เฉพาะช่วงสถานีท่าพระ – บางหว้าเท่านั้น
ทั้งบริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์ มีการปลูกต้นไม้คืนให้ แต่กลับไม่ได้ใส่ดินใหม่ ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ตาย จึงได้ปรับแก้ไข ด้วยการนำดินใหม่มาลงเพื่อปลูกต้นไม้ใหม่อีกครั้ง แต่นำดินเดิมที่ขนออกมา ไปถมที่ถนนเพชรเกษมแทน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อการปลูกต้นไม้ ที่บริเวณถนนเพชรเกษมต่อไป
“3 ประเด็นนี้ชัดเจน ซึ่งผมเตรียมจะร้อง แล้วจะหาสาเหตุว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงไปมั่วกันขนาดนี้ ความจริงแล้วยังมีเรื่องฟุตบาท ถ้าจะสำรวจก็จะต้องเดินตั้งแต่จรัญฯ 13 ไปถึงบางแค กับเรื่องลอกท่อระบายน้ำ ปูนที่อยู่ในท่อระบายน้ำ เราไม่สามารถมุดท่อตรวจได้ ผมก็รอให้ชาวบ้านร้อง แล้วค่อยไปจัดการทีหลัง”
นายวิลาศ บอกด้วยว่า ตนยังได้ข้อมูลมาว่า ที่สำนักการโยธา มีการรับรถใหม่ป้ายแดงหลายคัน จึงได้รวบรวมป้ายทะเบียน เพื่อนำไปตรวจสอบหาเจ้าของรถต่อไป
“ที่สำนักโยธา มีการรับรถฟอร์ด เอเวอร์เรส อย่างน้อย 7 คัน อย่างมาก 8 คัน ผมก็ตามไปถ่ายรูป อันนี้มีหลายคนยืนยันว่า เป็นรถปาฏิหาริย์มา แล้วก็มีบางคนบอกว่าให้ตรวจรถอีกชุดหนึ่ง คือโตโยต้า คัมรี จำนวนไม่รู้ แต่พบแล้ว 2 คัน อีกรุ่นหนึ่งเป็นบีเอ็มดับเบิลยู เขาบอกว่า เป็นข้าราชการกินเงินเดือนปกติ จะได้รถ ซื้อรถใหม่ป้ายแดงกันอย่างนี้มันน่าสงสัย”
“ผมเรียนเลยนะครับว่า ผมไม่รู้หรอกครับว่า ข้อเท็จจริงนี้ รถทั้งหมดนี้ใครเป็นคนซื้อ ใครเป็นรับ ใครเป็นเจ้าของ แล้วไปติดสินบนกันยังไง แต่มีคนยืนยันเรื่องรถฟอร์ด ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะร้องให้หน่วยตรวจสอบเขาตรวจ เพราะมันไม่ยาก ตรวจทะเบียน ตรวจชื่อได้ และที่มาที่ไปว่าใครเป็นคนซื้อ”
นายวิลาศ ระบุว่า เรื่องนี้ตนจำเป็นต้องร้องบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งรองผู้ว่าฯ ที่ดูแลในส่วนนี้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยงาน เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบสวนต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ประชาธิปัตย์ เปิดกว้าง ส.ส. ประชุมแก้รัฐธรรมนูญพรุ่งนี้
- โพลชี้ คนมอง ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์-เหตุประหลาด’ ให้หวย เรื่อง ‘งมงาย-สร้างกระแส’
- ย้ำ! คนละครึ่งเฟส 2 จะไม่ได้รับเงิน 3,000 บาทย้อนหลัง
