World News

จับตาซัมมิท’อาเซียน-สหรัฐ’ตามติด RCEP เมื่ออเมริกากำลังกลับมาเอเชียยุค ‘ไบเดน’

สหรัฐ ยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังจะกลับมามีบทบาทในอาเซียนอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียน

เช้าวันนี้ (14 พ.ค.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 8 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งมีผู้นำจาก เวียดนาม ลาว ไทย สิงคโปร์ บรูไน และผู้แทนจาก อินโดนีเซีย กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย และนายโรเบิร์ต ซี. โอไบรอัน (Robert C. O’Brien) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Security Advisor) เป็นผู้แทนฝ่ายสหรัฐ

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงวันเดียว หลังจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ คือ ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ รวมกับ Plus 5 คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ บรรลุการเจรจาร่วมกัน

ทั้งนี้ ถึงการลงนามในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 37 ที่ประเทศเวียดนาม โดยประชุมทางไกล ซึ่งความตกลง RCEP ถือเป็นกรอบการค้าเสรีที่มีทั้งขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกคิดเป็น 31% ของ GDP โลก และขนาดตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวนประชากรถึง 2,300 ล้านคน

ข้อตกลง RCEP เป็นแรงผลักดันสำคัญจากจีน หลังจากเกิดความขัดแย้งในประเด็นการค้ากับสหรัฐในช่วงประธานาธิบดีทรัมป์ ในขณะที่สหรัฐเป็นผู้ผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) เป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกรวม 19 ประเทศ

แม้จีนจะเป็นสมาชิกเอเปกด้วย แต่ความขัดแย้งใน “สงครมการค้า”ทำให้จีนหันมาผลกดันเขตการค้าในภูมิภาคเอเชีย เพื่อลดอิทธิพลของสหรัฐ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ ในอนาคต ขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-สหรัฐฯ ให้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความร่วมมือเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืน ตลอดจนทบทวนเพื่อต่อยอดความร่วมมือจากการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 7

นายกรัฐมนตรีเวียดนามชื่นชมบทบาทของสหรัฐ ในภูมิภาค และด้วยความท้าทายที่มากขึ้น ประเทศในภูมิภาคต้องร่วมมือกันมากขึ้นตามหัวข้อหลักของการประชุม แน่นแฟ้นและตอบสนอง เพื่อการฟื้นฟูหลังโควิด-19 ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

นายโรเบิร์ต ซี. โอไบรอัน เชื่อมั่นว่าการประชุมจะดำเนินการหารือไปด้วยดี และเป็นปีสำคัญของความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กระทบการพบเจอเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น การเชื่อมห่วงโซ่อุปทานสำหรับโควิด-19 ยังคงจำเป็น ต้องมีความร่วมมือต่อต้านโรคระบาด การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ทั้งความมั่นคงและอาหาร

นอกจากนี้ สหรัฐ ยังให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การมีการฝึกอบรมสนับสนุนอาชีพ เป็นต้น

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าสหรัฐ เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่รอบด้านของอาเซียน บทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างความเป็นแกนกลางและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียนการสร้างดุลยภาพใหม่ทางยุทธศาสตร์ (new strategic equilibrium) ในอินโด-แปซิฟิก จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ และการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภูมิภาค

นายโรเบิร์ต ซี. โอไบรอัน กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อมิตรภาพและความเป็นหุ้นส่วนสหรัฐ-อาเซียน ให้ดำเนินต่อไปในปีหน้าและต่อ ๆ ไป โดยจะแน่นแฟ้นมากขึ้นทุกด้าน ความร่วมมือสำคัญต่อสันติภาพ ความมั่นคง และประโยชน์ต่อประชาชน รวมทั้ง จะมีความร่วมมือใหม่ ๆ เช่น Task Force ด้านสาธารณสุข และโควิด-19 ลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลมากขึ้น เพื่อส่งเสริมแรงงานและบุคลากร ลงทุนเพิ่มขึ้นในด้านโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียน ส่งเสริมอินโด-แปซิฟิกที่เปิดกว้างและเสรี รวมทั้งปกป้องความเป็นแกนกลางของอาเซียน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo