General

ไทยพร้อม! เปิดประเทศ สธ. ยึดแนวทาง ‘คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด’

ไทยพร้อมเปิดประเทศ สธ. แจกแจงมาตรการทุกด้าน ยึดนโยบาย คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด ในวันที่โควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “Smart Living with COVID-19 เปิดประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด” โดยกล่าวว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี รู้จักกับโรคนี้มากขึ้น รัฐบาลมีนโยบายให้คลายล็อกเปิดประเทศ บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงสาธารณสุขจึงนำประสบการณ์และองค์ความรู้ มาปรับเป็นมาตรการควบคุมโรค เพื่อรองรับการที่ ไทยพร้อมเปิดประเทศ

ไทยพร้อมเปิดประเทศ

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ในทุกหน่วยงาน ได้เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือ ในวันที่ประเทศไทย จะต้องสู้กับโรคโควิด 19 ภายใต้แนวคิด “SMART LIVING WITH COVID-19 คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด” โดยขอยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขมีประสบการณ์ ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ความพร้อม และมีแผนการในการรองรับการเปิดประเทศ ที่จะทยอยคลายล็อกหลังจากนี้

มาตรการเตรียมความพร้อมของ สธ. จะมีตั้งแต่ ด่านเฝ้าระวังคัดกรองและควบคุมโรค ทีมสอบสวนโรคนับพันทีม ที่พร้อมลุยงานเร่งด่วน มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคน ร่วมเฝ้าระวัง สถานกักกันโรคทุกประเภท มีห้องรองรับมากกว่า 8 พันห้อง มีห้องปฏิบัติการในการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด 19 การจัดเตรียมยาฟาวิพิราเวียร์กว่า 5 แสนเม็ด ห้องแยกโรคและเตียงเพื่อรองรับการรักษา รวมถึงมีความร่วมมือจากประชาชน

ต้องอยู่ร่วมกับโควิด-19 ให้ได้อย่างปลอดภัย

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคโควิด 19 ขณะนี้ยังไม่มีจุดสิ้นสุด ประเทศไทยจำเป็นต้องมองหาแนวทาง การอยู่ร่วมกับโรคนี้ ซึ่งการเปิดประเทศ เป็นทางเลือกทางรอดหนึ่ง แต่ต้องเปิดประเทศแบบ คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจไทยไปรอด จึงต้องเตรียมความพร้อมทุกภาคส่วน

ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบในการเฝ้าระวัง ควบคุมโรค หากพบการติดเชื้อจะต้องรายงานภายใน 3 ชม. เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคอย่างรวดเร็ว โดยดำเนินการผ่าน 3P for Safety ได้แก่

1. Port Safety ด่านควบคุมโรคปลอดภัย มีระบบเฝ้าระวังคัดกรองและควบคุมโรค

2. Policy for National Quarantine Safety จัดทำนโยบายควบคุมโรคระดับชาติ มีระบบกักกันโรคและสถานกักกันโรคที่ได้มาตรฐาน

3. Public Health Emergency Operation Center (PHEOC) Safety มีศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่เป็นระบบ ทั้งการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคเชิงรุก การจัดทีมสอบสวนโรคและรายงานภายใน 3 ชั่วโมง กว่า 3,000 ทีมทั่วประเทศ และมีระบบสื่อสารความเสี่ยงตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวัง และตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในกลุ่มที่มีอาการเข้าเกณฑ์ ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ และอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ผู้ต้องขังแรกรับ แรงงานต่างด้าว ฯลฯ

สธ. 1

ยืนยันลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน กับ 14 วัน ไม่ต่างกัน

ส่วนกรณีข้อเสนอ การลดวันกักตัวผู้เดินทางจากประเทศที่มีความเสี่ยงโรคโควิด 19 ต่ำ หรือใกล้เคียงกับประเทศไทย จาก 14 วันเหลือ 10 วัน นั้น ยีนยันว่า อยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน เนื่องจากมีข้อมูลประกอบการพิจารณา คือ ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดตรวจพบเชื้อภายใน 10 วัน การพบเชื้อหลัง 10 วัน ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ มีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ เช่น กรณีดีเจร้านอาหาร หรือหญิงชาวฝรั่งเศส ซึ่งไม่พบผู้สัมผัสติดเชื้อเพิ่ม

“ข้อมูลล่าสุดพบว่า ระยะการกักตัว 10 วัน และ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน และเมื่อออกจากที่กักกันโรค จะใช้มาตรการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การจัดระบบระบายอากาศ และมีระบบติดตามตัวทุกคน เพื่อรายงานอาการป่วย”นพ.โอภาส กล่าว

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีเตียงกว่า 20,000 เตียงทั่วประเทศ การรับผู้ป่วยจะพิจารณาจากคนไข้ที่มีอาการหนักที่อยู่ในห้องไอซียู

ทั้งนี้ จากการระบาดรอบแรก คนไข้นอนไอซียูเฉลี่ยประมาณ 17 วัน ดังนั้น การเตรียมพร้อมครั้งนี้ ในกรุงเทพมหานครสามารถรองรับได้ 230-400 คน ทั่วประเทศรองรับได้ 1,000-1,740 คน ขณะที่ยาและเวชภัณฑ์นั้น จากข้อมูลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 มียาฟาวิพิราเวียร์ 628,304 เม็ด สำหรับผู้ป่วย 8,900 ราย ยาเรมเดซิเวียร์ 795 ขวด สำหรับผู้ป่วย 126 ราย

พร้อมกันนี้ ยังมีหน้ากาก N95 คงเหลือ 2,782,082 ชิ้น ชุด PPE คงเหลือ 1,959,980 ชิ้น มี 40 โรงงานกำลังการผลิต 6 หมื่นชุดต่อวัน และหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ คงเหลือ 50,922,050 ชิ้น มี 60 โรงงาน กำลังการผลิต 4,700,000 ชิ้น/วัน

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีศักยภาพตรวจเชื้อเฉพาะกรุงเทพมหานคร ได้ถึงวันละ 10,000 ตัวอย่าง ต่างจังหวัด วันละ 10,000 ตัวอย่าง

ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 238 แห่งทั่วประเทศ ที่ผ่านมามีการสุ่มตรวจเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่ชายแดนประมาณ 100,000 ราย พบผลบวก 1 ราย ถือว่ามีศักยภาพเพียงพอ หากมีผู้สงสัยติดเชื้อ และต้องตรวจเชื้อเพื่อยืนยันผล

สุทิน

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้เตรียมความพร้อมเปิดประเทศ ไว้ดังนี้

  • สถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine : ASQ) ที่ต้องผ่านมาตรฐาน 6 ด้าน ปัจจุบันมี 107 แห่ง มีผู้กักตัวสะสม 35,362 คน อยู่ระหว่างการกักตัว 6,201 คน กลับบ้านแล้ว 29,161 คน สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1,200 ล้านบาท
  • สถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine : AHQ) รองรับผู้ป่วยโรคอื่น ที่เดินทางเข้ามารับการรักษา ปัจจุบันมี 173 แห่ง มีผู้ป่วยและผู้ติดตามเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลแล้ว 2,367 ราย รักษาเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 1,072 ราย กำลังรักษาอยู่ จำนวน 1,295 ราย สร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว จำนวน 1,272,827,982 บาท
  • อสม.ในการดำเนินการตำบลวิถีใหม่ โดยสำรวจสุขภาพใจ และให้คำแนะนำ ในการปฏิบัติตัวแก่ประชาชน ให้มีสุขอนามัย มีวินัยและความร่วมมือในการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างในชุมชน

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะทยอยเปิดประเทศ แต่ประชาชนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ซึ่งกรมอนามัยได้ดำเนินการใน 2 มาตรการหลัก คือ

1. ยกระดับมาตรฐานของสถานประกอบการทั้ง 10 สถานที่ มุ่งเน้นมาตรการ 3 ระดับคือ ระดับสถานที่ ระดับบุคคล และระดับชุมชน

2. มีการสื่อสารสร้างความรอบรู้ และความตระหนักใน 5 ประเด็นหลัก เพื่อสร้างเกราะป้องกัน 5 ด่าน คือ ล้างมือ, สวมหน้ากาก โดยตั้งเป้าหมายให้ทั่วประเทศสวมหน้ากากอนามัยได้ 80%, รักษาระยะห่าง 1-2 เมตร, ทำความสะอาดพื้นผิว และจัดระบบระบายอากาศภายในอาคาร

นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ก่อนเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ และขอให้สถานประกอบการ ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของแต่ละสถานที่อย่างเคร่งครัด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo