“อาคม” เร่งแก้ปม “ธนาคาร กรุงไทย” พ้นสถานะ รัฐวิสาหกิจ ชง ครม. ดึงกลับมาเป็น “หน่วยงานรัฐ” อิงกฎหมายแบงก์ชาติ
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ธนาคารกรุงไทย (KTB) ไม่เข้าข่ายเป็น “รัฐวิสาหกิจ” ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมของหน่วยงานราชการผ่านธนาคารกรุงไทยนั้น
ล่าสุดนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า หากพิจารณาสถานะของ ธนาคารกรุงไทย ตาม พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจ จะถือว่าพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจแล้ว
แต่หากพิจารณาตามกฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังถือเป็นหน่วยงานรัฐ เพราะผู้ถือหุ้นในธนาคารกรุงไทยคือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งเป็นหน่วยงานของ ธปท. ดังนั้น จึงถือว่า ธนาคารกรุงไทยยังเป็นธนาคารของรัฐ โดยกระทรวงการคลังเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า
“เราจะเสนอไปที่ ครม. ให้ธนาคารเป็นหน่วยงานการใช้บริการของรัฐเหมือนเดิม เพราะธนาคารกรุงไทยเป็นกลไกอีกอันหนึ่งที่เข้าไปช่วยดูแลการดำเนินงานให้กับโครงการต่างๆ ของรัฐ เช่น การจ่ายเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น ดังนั้น กรุงไทย ยังสามารถทำส่วนนี้ได้อยู่” นายอาคมกล่าว
ด้านสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และสวัสดิการของพนักงานธนาคาร กรุงไทย นั้น จะต้องเข้าไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง
เปิดคำวินิจฉัย “ธนาคาร กรุงไทย” พ้น รัฐวิสาหกิจ
การวินิจฉัยล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อเดือนตุลาคม 2563 เกิดหลังจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินขอให้วินิฉัยว่า กองทุนฯ มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ รวมทั้งสถานภาพของ ธนาคารกรุงไทย เนื่องจากคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” มีการนิยามในกฎหมายหลายฉบับ และมีความแตกต่างกัน
ก่อนหน้านี้ สำนักงานกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยแล้วในปี 2543 ว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯและธนาคารกรุงไทย มีสถานะเป็น “รัฐวิสาหกิจ” แต่ต่อมามีการปรับปรุง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย 2561 และมีการใช้ พ.ร.บ.วิธีงบประมาณ 2561 และมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในบทนิยม “รัฐวิสาหกิจ”
ตามมาตรา 4 จาก “องค์การของรัฐบาลหรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ” เป็น “องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐ ซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ”
กองทุนฯ จึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา วินิจฉัยใน 3 ประเด็น ดังนี้
- กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และ ธนาคารกรุงไทย ซึ่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ถือหุ้นมากกว่า 50% มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่
- กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และธนาคารกรุงไทย อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 หรือไม่ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่ากรรมการกองทุน ไม่ถือเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ จึงไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
- หากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ หรือธนาคารกรุงไทย ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้กระทรวงการคลังใช้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่ ตามที่กระทรวงการคลังร้องขอและกระทรวงการคลังจะกำกับดูแลธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นสรุปได้ ดังนี้
- กองทุนฯ ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามคำนิยาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย 2561 กำหนดให้ ธปท. เป็นหน่วยงานที่ไม่ใช่ส่วนราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น เนื่องจากกองทุนฯ เป็นหน่วยงานใน ธปท.
- นอกจากนี้ กองทุนฯ ไม่ได้เป็น “หน่วยงานรัฐ” ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ เนื่องจากไม่ได้รับเงินงบประมาณ หรือ รายจ่ายอุดหนุนจากงบประมาณ เนื่องจากได้รับเงินจากอำนาจหน้าที่ของกองทุนฯ เอง และได้รับการจัดสรรจาก ธปท.
- ดังนี้ ธนาคารกรุงไทย ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากกองทุนฯ ถือหุ้น 55.07%
- สำหรับประเด็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินนั้น กฤษฎีกาไม่ได้พิจารณาประเด็นนี้ เพราะเห็นว่าต้องปฏิบัติตามประกาศของ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
- ประเด็นเรื่องการมองฉันทะ หรือ มอบอำนาจให้กระทรวงการคลังได้หรือไม่นั้น สามารถดำเนินการได้ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.มหาชนจำกัด 2535 และการกำกับดูแลนั้นต้องทำผ่านกลไกคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดรายละเอียดกฤษฎีกาชี้ ‘ธนาคารกรุงไทย’ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ
- ด่วน! ธนาคารกรุงไทยแจ้งตลาดฯ พนักงานทั้งหมดพ้นสถานะ ‘รัฐวิสาหกิจ’
- ‘บีซีไอ’ หนุน ‘กฟภ.’ รัฐวิสาหกิจรายแรก เปิดบริการ ‘eLG on Blockchain’