COVID-19

‘กักตัว 10 วัน กับ 14 วัน’ ไม่ต่างกัน! นำร่องประเทศกลุ่มเสี่ยงต่ำ

กักตัว 10 วัน กับ 14 วัน ไม่ต่างกัน สธ. เผยลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน ติดตามต่ออีก 4 วัน นำร่องประเทศกลุ่มเสี่ยงต่ำ หรือใกล้เคียงประเทศไทย

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดี กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากข้อเสนอการลดวันกักตัว ผู้เดินทางจากประเทศ ที่มีความเสี่ยงโรคโควิด 19 ต่ำหรือใกล้เคียงกับประเทศไทยนั้น การ กักตัว 10 วัน กับ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน ซึ่งการพิจารณาลดวันกักตัว เหลิอ 10 วัน พิจารณาบนพื้นฐานของความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ

กักตัว 10 วัน กับ 14 วัน

สำหรับ ข้อเสนอลดวันกักตัว ได้ผ่านความเห็นชอบจาก ที่ประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 และที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด 19 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563

สำหรับข้อมูลประกอบการพิจารณาคือ ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดตรวจพบเชื้อภายใน 10 วัน การพบเชื้อหลัง 10 วัน ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ มีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ เช่น กรณีดีเจร้านอาหาร หรือหญิงชาวฝรั่งเศส ซึ่งไม่พบผู้สัมผัสติดเชื้อเพิ่ม

จากข้อมูลล่าสุดพบว่า ระยะการกักตัว 10 วัน และ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน และเมื่อออกจากที่กักกันโรค จะใช้มาตรการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การจัดระบบระบายอากาศ และมีระบบติดตามตัวทุกคน เพื่อรายงานอาการป่วย

นายแพทย์โอภาส

ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า การลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน จะเริ่มจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยประเมินความเสี่ยงของประเทศต้นทาง เปรียบเทียบกับประเทศไทย (Relative Risk Country) ซึ่งประเทศที่ความเสี่ยงใกล้เคียงกับไทย เช่น จีน มาเก๊า อัตราการติดเชื้อ 60 ต่อประชากร 1 ล้านคน

ประเทศที่ความเสี่ยงน้อยกว่าประเทศไทย เช่น ไต้หวัน เวียดนาม มีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่า 60 ต่อประชากร 1 ล้านคน ถ้ามีต่างชาติจากกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำเข้ามาในไทย 1 ล้านคน การตรวจ RT-PCR ก่อนการเดินทางจะช่วยลดความเสี่ยงประมาณ 50% เมื่อกักตัว 14 วัน มีโอกาสเสี่ยงหลุดรอดหลังจากถูกกักกัน 0.3 คน

ขณะที่การกักตัว 10 วันมีโอกาสเสี่ยงหลุดรอดหลังจากถูกกักกัน 1.5 คน และจากการเก็บข้อมูลผลการตรวจหาเชื้อโรคโควิด 19 ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ในกลุ่มผู้เดินทางจากประเทศซูดานใต้ จำนวน 77 คน พบผู้ติดเชื้อ 17 คน

ลดกักตัว

“ทั้งหมดตรวจพบในช่วงวันที่ 0-9 ของการกักตัว และพบการติดเชื้อภายใน 7 วันแรกของการกักตัวถึง 15 ราย ดังนั้น การกักกันโรค 10 วัน จึงมีความเพียงพอ”นายแพทย์โสภณ กล่าว

นอกจากนี้ ผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยงต่ำ จะต้องยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวประเภทพิเศษ และการพำนักในประเทศไทย (Special Tourist Visa : STV2) โดยต้องยื่นเอกสารขอรับวีซ่าที่ สถานทูตไทย ในประเทศต้นทาง

สำหรับการยื่นเอกสารยืนยันก่อนการเดินทาง ได้แก่ ใบรับรองตรวจไม่พบเชื้อโควิดก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ใบ Fit to Fly ใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย ประกันวงเงิน 1 แสนเหรียญสหรัฐ และการจองที่พักโรงแรมที่เป็นสถานกักกันที่รัฐกำหนด (Alternative Stare Quarantine : ASQ)

เมื่อถึงประเทศไทย จะเข้าด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ดำเนินการตรวจวัดอุณหภูมิ หากพบว่ามีไข้หรืออาการตามนิยามผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค จะแยกกักเพื่อสอบสวนโรค นำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อ

หากไม่มีไข้หลังผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จะส่งเข้ารับการกักกันใน ASQ ทำการตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง และตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน 2 ครั้ง คือ วันแรกที่เข้าโรงแรม วันที่ 5 และ 9 ของการกักตัว หากผลเป็นบวกจะนำส่งรักษากับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญา หากผลเป็นลบในวันที่ 10 จะประเมินและตรวจเอกสารก่อนอนุญาตให้ออกจากสถานที่กักกันในวันที่ 11

หลังออกจากสถานกักกันโรค จะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน ใช้ติดตามตัว และชี้แจงให้นักเดินทาง ทราบถึงการติดตามอาการต่ออีก 4 วัน โดยจัดทีมสนับสนุน ติดตามผู้เดินทางอย่างใกล้ชิด เน้นการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในการกักตัวและรักษาพยาบาล คาดว่าจะเริ่มนำร่องใน 1 เดือนข้างหน้า ภายหลังจากที่ ศบค.ให้ความเห็นชอบ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo