เมียนมาเห็นพ้องลดขนาดโครงการท่าเรือในรัฐยะไข่ให้เล็กลง ใช้งบก่อสร้าง 1,300 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 7,200 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแบกรับภาระหนี้ที่มากเกินไป
เว็บไซต์นิกเคออิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า โครงการพัฒนาท่าเรือดังกล่าว ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษจ้าวผิ่ว เป็นท่าเรือตามธรรมชาติ ที่มุ่งหน้าออกสู่มหาสมุทรอินเดีย เหมาะสำหรับการเข้าเทียบท่าของเรือขนาดใหญ่
ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้ มีท่อส่งน้ำมันไปยังจีนตั้งอยู่ และมีความสามารถรองรับเรือบรรทุกน้ำมันได้ใหญ่สุดขนาด 3 แสนตัน
ฌอน เทอร์เนลล์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา กล่าวว่า เมียนมาประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเจรจารอบใหม่เกี่ยวกับท่าเรือน้ำลึกจ้าวผิ่ว ซึ่งการเคลื่อนไหวของเมียนมา ในการจัดการกับโครงการจ้าวผิ่วนี้ ไม่ได้สามารถทำตามเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ประเทศอื่นๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้เช่นกัน
ขณะแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเมียนมา เปิดเผยว่า การลดขนาดงบลงทุนข้างต้น จะทำให้เมียนมาสามารถลดภาระทางการเงินลงมา ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาหน้าให้กับจีน ที่ต้องการทำให้เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ เป็นจุดสำคัญในโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
ในการลดขนาดโครงการนี้ เมียนมาจะเดินหน้าพัฒนาท่าเรือ 4 ขั้นตอนตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่จะไม่ดำเนินการก่อสร้างในส่วนต่อไป จนกว่าจะสอดคล้องกับเงื่อนไขความต้องการที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาท่าเรือดังกล่าว เป็นการร่วมลงทุนระหว่างเมียนมา กับจีน โดยกลุ่มนักลงทุนจีนภายใต้การนำของ “ซิติค กรุ๊ป” บริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลปักกิ่ง จะถือหุ้น 70% ในโครงการ ส่วนรัฐบาลเมียนมา และบริษัทท้องถิ่นอีก 42 ราย ถือหุ้นในส่วนที่เหลือ
ซิติค ยังเป็นแกนนำนักลงทุนจีนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะเข้ามาพัฒนานิคมอุตสาหกรรมภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยลงทุน 2,700 ล้านดอลลาร์ สำหรับการถือหุ้น 51%
ทั้งนี้ เมียนมาตัดสินใจที่จะเปิดเจรจาถึงข้อตกลงดังกล่าวกับจีนใหม่ หลังจากมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในศรีลังกา ที่ต้องมอบสิทธิในการดำเนินงานท่าเรือนาน 99 ปี ให้กับทุนจีน หลังมีปัญหาจ่ายหนี้คืนไม่ได้
“มีความเป็นไปได้ที่เราอาจต้องให้สิทธิการเป็นเจ้าของบางส่วนกับจีนไป ถ้าธุรกิจของเราชะลอตัว และจ่ายหนี้ไม่ได้” ตัวแทนบริษัทท้องถิ่นรายหนึ่งกล่าว