นิยามคำว่า “ธุรกิจบันเทิง” ในสายตาคนไทยยังคงมองเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี ที่เป็นแหล่งรวมการกินดื่มเทียว และบริการที่ไม่พึงปราถนา เช่น บริการทางเพศ มีเข้ามาเกียวข้อง แต่นิยามของ “ธุรกิจบันเทิง” ในสายตานักธุรกิจบันเทิงระดับสากล มีมุมมมองที่ต่างกัน
ในระดับสากลนั้น Entertainment หรือธุรกิจบันเทิง ครอบคลุมการให้บริการที่หลากหลาย ด้านความบันเทิง ทั้งคอนเสริต การแสดงโชว์ต่างๆ ที่น่าตืนตาตื่นใจ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย เมืองใหญ่ทั่วโลกล้วนมีบริการบันเทิงที่เป็นสากลเหล่านี้
สำหรับเมืองไทย นิยามของสถานบันเทิง ยังคงจำกัดอยู่เพียงสถานประกอบการไม่กี่ประเภท ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นบริการที่มอมเมา ไม่สร้างสรรค์ ทั้งที่บริการของธุรกิจบันเทิง มีเนื้อหาสาระความบันเทิงแนวสร้างสรรค์มากมาย เช่นกิจกรรมคอนเสิร์ตของศิลปินระดับสากล ที่เดินสายโชว์การแสดงไปทั่วโลก
ปัจจุบันไทยยังไม่ได้เข้าสู่แผนที่การสแดง ของศิลปินระดับโลกเหล่านี้ แต่ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เมื่อมียักษ์ใหญ่ด้านบันเทิงและกีฬาชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา เข้ามาลงทุนในไทย เตรียมเปิดอารีน่ามาตรฐานสากลขึ้นมา 2 แห่ง จะพร้อมให้บริการในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
ในงานเปิดตัวพันธมิตรธุรกิจระหว่าง “กลุ่มเดอะมอลล์” และบริษัทอีเวนท์บันเทิงและกีฬาชื่อดังระดับโลก “AEG” ซึ่งมองว่าไทยยังมีโอกาสพัฒนาธุรกิจบันเทิง ประเภทคอนเสิร์ตเอ็นเตอร์เมนท์ต่างๆ ได้อีกมาก แต่พื้นที่ซึ่งจะให้บริการอีเวนท์บันเทิงขนาดใหญ่ระดับมาตรฐานสากลยังไม่มีรองรับ AEG จึงขยายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยการร่วมมือกับกลุ่มเดอะมอลล์
ต่อเนื่องจากการลงทุนดังกลาว นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จะทำให้ธุรกิจบันเทิงในไทยคึกคักมากขึ้น จากอีเวนท์งานบันเทิงที่จะมีบริการเพิ่มขึ้น เพราะ AEG นอกจากเป็นผู้จัดอีเวนท์ ผู้บริหารศูนย์บันเทิงแล้ว ยังมีเครือข่ายศิลปินระดับอินเตอร์ ที่จะสามารถนำมาแสดงในบ้านเรา เป็น World Entertainment และ Sport Events ต่างๆ โดยศิลปินระดับโลกในเครือข่าย AEG เช่น Justin Bieber, Celine Dion, Katy Perry, Ed Sheeran, Taylor Swift, Metalica, และ Rolling Stones
“ทั้งสองศูนย์บันเทิงใหม่ที่จะเปิดกับกลุ่มเดอะมอลล์ จะมีความถี่ในการจัดอีเวนท์ ทั้งบันเทิงและกีฬาระดับโลก ไม่น้อยกว่า 100 อีเวนท์ต่อปี” ซีอีโอ เดอะมอลล์ กล่าวและว่า ธุรกิจบันเทิงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนมหาศาล ส่งต่อการใช้จ่ายหลายรอบ สะพัดไปถึงผู้มีรายได้ระดับรากหญ้า แรงงานระดับล่าง แต่ปัญหาทุกวันนี้ ธุรกิจบันเทิงในบ้านเรายังมีข้อจำกัด
นั่นคือการจำกัดเวลาเปิดให้บริการ ซึ่งสถานบันเทิงหลายแห่งเปิดบริการเวลา 23.00 น. และต้องปิดบริการภายในเวลา 2.00 น. เท่ากับมีเวลาให้บริการเพียง 3 ชั่วโมงต่อคืน ซึ่งในแง่ธุรกิจแล้วไม่คุ้มกับการลงทุน
ใครจะมาลงทุนอุตสาหกรรมบันเทิงบ้านเรา เปิด 5 ทุ่มปิดตี 2 มีเวลาแค่ 3 ชม.ไม่คุ้มกับการลงทุน
ด้วยข้อจำกัดของเวลาดังกล่าว ทำให้ธุรกิจบันเทิงรายใหญ่ๆ ยังไม่มาลงทุนในไทย ซึ่งซีอีโอ เดอะมอลล์ มองว่าหากรัฐเปิดกว้างสำหรับธรกิจนี้ โดยต่อเวลาให้บริการได้นานขึ้น ข้ามไปถึง 5-6 นาฬิกา มีเวลาให้บริการได้สัก 6-7 ชั่วโมงก็จะดึงดูดการลงทุนได้มากกว่านี้
ธุรกิจบันเทิงเหล่านี้สร้างเงินสะพัดได้หลายรอบ จ้างแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานระดับล่าง กลุ่มคนรากหญ้า ที่พร้อมจะทำงานในสถานบันเทิงจำนวนมาก คาดว่าจะมีเงินสะพัดได้เป็นแสนล้านบาท
นอกจากนี้ การมีสถานบันเทิงระดับสากลเข้ามาเปิดบริการ จะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวไทยในช่วงกลางคืน หรือ ไนท์ไลฟท์ ของประเทศให้มีตัวเลือกในบริการมากขึ้น เป็นไนท์ไลฟ์แบบสากลมีสถานบันเทิงคุณภาพให้บริการ ลบภาพแหล่งท่องเที่ยวบริการทางเพศ ที่กลายเป็นชื่อเสียงด้านลบของประเทศไทยในสายตาต่างชาติ
ภาคเอกชนเรามองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ แต่ภาครัฐอาจมองต่างมุม พยายามจำกัดเวลาในการให้บริการ จะด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยหรืออะไรก็ตาม แต่ในแง่ธุรกิจแล้วการจำกัดเวลาแบบนี้ ทำให้การลงทุนโครงการใหญ่ๆ ไม่เกิด เพราะนักธุรกิจประเมินแล้วไม่คุ้มค่า
การจะส่งเสริมให้ธุรกิจใดเกิดขึ้นได้ รัฐต้องเปิดโอกาส ไม่กำหนดกติกาที่เป็นการปิดกั้นมากเกินไป
ทั้งนี้ ธุรกิจบันเทิงที่กล่าวนี้หมายถึง การพัฒนาธุรกิจสถานบันเทิงรายใหญ่ ที่ให้บริการบันเทิงทั้งดนตรีและการแสดงแสงสีเสียงต่างๆ ที่เมืองไทยยังขาดอยู่ ทุกวันนี่เรามีแต่สถานบันเทิงเล็กๆ ที่พ่วงบริการไม่ดีเข้าไป ทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวประเทศเสียหาย เอกชนไม่อยากให้ไทยเติบโตในทางไม่ดี เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เรามีความพร้อมมากกว่านั้น
“ฝากเป็นแนวคิดไปถึงรัฐบาล อยากเห็นธุรกิจบันเทิงยกระดับไนท์ไลฟ์การท่องเที่ยวไทย ก็ต้องเปิดกว้างต่อเวลาให้ผู้ประกอบการให้บริการได้คุ้มในเชิงธุรกิจมากขึ้น” ซีอีโอ เดอะมอลล์ กล่าวทิ้งท้าย
