ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ประเมิน เศรษฐกิจเอเชียในปีหน้า จะได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐที่เพิ่มความรุนแรงขึ้น พร้อมย้ำถึงความเป็นไปได้ที่การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่อาจเร่งเงินทุนไหลออกจากเอเชีย
เอดีบีเปิดเผยรายงานแนวโน้มการพัฒนาเอเชีย ในวันนี้ (26 ก.ย.) โดยยังคงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียปีนี้ไว้ในระดับเดิมที่ 6% แต่ลดตัวเลขคาดการณ์สำหรับปี 2562 ลงมาอยู่ที่ 5.8% จากเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ประเมินไว้ในระดับ 5.9% ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ระหว่าง 2 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก และสภาพคล่องโลกที่ตกอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น
ธนาคารระบุว่า มาตรการปกป้องทางการค้า จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน ลดลงมาราว 0.5% แต่จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งภูมิภาคในเวลานี้
“อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น อาทิ การเก็บภาษีในอัตรา 25% ต่อการค้าทั้งหมดของ 2 ประเทศ อาจทำให้เกิดบทสรุปที่รุนแรงกว่านี้”
รายงานชี้ด้วยว่า จีดีพีจีนอาจจะหายไปมากสุดถึง 1% ขณะที่สหรัฐอาจหายไป 0.2% ส่วนเศรษฐกิจอื่นๆ ในเอเชีย ก็จะรับรู้ถึงผลกระทบนี้เช่นกัน เมื่อการผลิตของซัพพลายเชนทั่วโลกชะลอตัวลง
เอดีบี ประเมินว่า จีดีพีจีนในปีนี้ จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 6.6% แต่ลดคาดการณ์ปี 2562 ลงมา 0.1% ที่ 6.3% ท่ามกลางความต้องการที่ชะลอตัว และความสัมพันธ์เปราะบางกับสหรัฐ
นอกจากสงครามการค้าแล้ว สัญญาณต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐร้อนแแรงเกินไป อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่เร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ซึ่งจะยิ่งทำให้เงินทุนไหลออกจากเอเชียมากขึ้น และเพิ่มแรงกดดันต่อสกุลเงินเอเชีย
ประเทศที่มีหนี้ภาคเอกชนเพิ่มขึ้น อย่าง มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และไทย อาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่บั่นทอนเสถียรภาพในภาคการเงิน
โจเวฟ ซเวคลิค รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ประเทศเหล่านี้ ควรจัดการกับแรงกดดันสภาพคล่องให้ดีขึ้นกว่าเดิม ผ่านวิธีการที่เรียกว่า มาตรการดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาค และปรับดอกเบี้ยนโยบายของตัวให้สอดคล้องกับเฟด
ค่าเงินของหลายประเทศในเอเชีย อาทิ เปโซฟิลิปปินส์ และรูเปียะห์ อินโดนีเซีย อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศพุ่งสูงขึ้น ซึ่งธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในเอเชีย รับมือกับเรื่องนี้ ด้วยการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และขึ้นดอกเบี้ย วิธีการที่เอดีบี ระบุว่า อาจบั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้
นอกจากนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนนอกภูมิภาค ก็ อาจส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน
ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เงินเปโซอาร์เจนตินา และลีราตุรกี ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างนัก ทำให้เกิดแรงเทขาย และผลกระทบกระจายไปทั่วสกุลเงินเอเชีย อย่าง รูปีอินเดีย และรูเปียะห์อินโดนีเซีย
อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า ในระยะกลางนั้น การปรับทิศทางการค้า อันเป็นผลมาจากสงครามการค้า อาจเอื้อประโยชน์ให้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึง เศรษฐกิจต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้
เอดีบี ประเมินว่า ในปี 2561 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะขยายตัว 5.1% ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 5.2% จากการที่ 6 ชาติใน 10 ประเทศของภูมิภาคนี้ จะมีการเติบโตในอัตราที่ช้าลงกว่าที่ประเมินไว้ในครั้งแรก
การเปลี่ยนสู่รัฐบาลใหม่ของมาเลเซีย ทำให้การลงทุนซบเซาลง ขณะที่การขยายตัวสุทธิในภาคส่งออกของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ๆไทย และเวียดนาม ก็เพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ในปีนี้ เอดีบีคาดว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะขยายตัวราว 5.2% ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม โดยส่งออก และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้