วุฒิสภาสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 52 ต่อ 48 รับรอง “เอมี โคนีย์ แบร์เรตต์” ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อมา
การรับรองผู้พิพากษาแบร์เรตต์ จะทำให้พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ในคณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 คน โดยมีผู้พิพากษาที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกันถึง 6 คน ในขณะที่ผู้พิพากษาที่ได้รับการแสนอชื่อจากพรรคเดโมแครตมีเพียง 3 คน
นายลินซีย์ เกรแฮม ประธานคณะกรรมาธิการด้านยุติธรรมแห่งวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวยกย่องผู้พิพากษาแบร์เรตต์ว่า “ผมยังไม่เห็นใครที่จะมีความสามารถมากกว่าแบร์เรตต์ เธอเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับการดำรงตำแหน่งผู้พิพาษาศาลฎีกาสหรัฐ ผมเชื่อว่า แบร์เรตต์จะใช้กฎหมายด้วยความซื่อสัตย์โดยไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัว”
ทั้งนี้ ผู้พิพากษาแบร์เรตต์จะเข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ แทนนางรูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ซึ่งได้เสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว จากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน หลังจากปฏิบัติหน้าที่ยาวนานถึง 27 ปี โดยนางกินสเบิร์กได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลสำคัญด้านสิทธิเสรีภาพของสตรี
อย่างไรก็ดี พรรคเดโมแครตพยายามขัดขวางการเสนอชื่อผู้พิพากษาแบร์เรตต์มาโดยตลอด โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่า แบร์เรตต์มีทัศนคติต่อต้านโครงการประกันสุขภาพโอบามาแคร์ และมีหัวอนุรักษ์นิยมซึ่งต่อต้านการทำแท้ง
ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบขาว กล่าวถึง ผู้พิพากษาแบร์เรตต์ว่า เธอจะนำมุมมองใหม่ที่มีคุณค่ามาสู่ศาลฎีกาของประเทศ พร้อมอธิบายถึงความสำคัญของเธอว่า ผู้พิพากษาแบร์เร็ตต์ เป็นมารดาคนแรก ที่มีลูกๆ อยู่ในวัยเรียน ที่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา และยังเป็นผู้หญิงคนที่ 5 ที่ได้รับตำแหน่งนี้
ทั้งการที่เธอเป็นมารดาของเด็ก ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ยังทำให้เธอเข้าใจถึงปัญหา และความกังวล ที่กลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดของสหรัฐ กำลังเผชิญอยู่
นอกจากนี้ ผู้พิพากษาแบร์เรตต์ ยังเป็นผู้พิพากษาคนเดียวในปัจจุบัน ที่สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์วาร์ด หรือเยล โดยเธอในคะแนนสูงสุดในคณะของเธอ จากวิทยาลัยกฎหมายนอเทรอ ดาม ในรัฐอินดิแอนา
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘จีน’ คว่ำบาตร 3 บริษัทยักษ์อเมริกา ฐานเอี่ยวขายอาวุธให้ ‘ไต้หวัน’
- ฮ่องกง’ รวบผู้กระทำผิดกว่า 10,000 คน นับตั้งแต่เกิดความไม่สงบปีที่แล้ว
- ‘ฝรั่งเศส’ โดนโควิด-19 รุกหนัก วันเดียว ‘ติดเชื้อกว่าครึ่งแสน’