Finance

อึ้ง!! กองทุนไทยโกยซื้อหุ้น 1.4 แสนล้าน

setup4

จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศไทย รอบ 9 เดือนที่ผ่านมาได้ทยอยซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง จนกระทั่งมียอดซื้อสุทธิ 1.4 แสนล้านบาท

หากพิจารณาย้อนหลังไปช่วง 10 ที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2551-2561) ในช่วง 9 เดือนแรกของทุกปี จะเห็นว่าในปี 2561 กองทุนในประเทศ มีมูลค่าการถือครองหุ้นไทยสูงสุด โดยปี 2551 ยอดซื้อสุทธิ 30,380.89 ล้านบาท ปี 2552 ขายสุทธิ 23,198.66 ล้านบาท ปี 2553 ขายสุทธิ 27,166.03 ล้านบาท ปี 2554 ขายสุทธิ 28,542.41 ล้านบาท ปี 2555 ขายสุทธิ 44,210.90 ล้านบาท ปี 2556 ซื้อสุทธิ 83,486.46 ล้านบาท ปี 2557 ซื้อสุทธิ 31,426.52 ล้านบาท  ปี 2558 ซื้อสุทธิ 57,252.04 ล้านบาท ปี 2559 ขายสุทธิ 50,094.22 ล้านบาท ปี 2560 ซื้อสุทธิ 62,523.10 ล้านบาท

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เมื่อเข้าสู่ช่วง Window Dressing ทำให้กองทุนในประเทศช่วยประคองภาพรวมเพื่อทำระดับปิดไตรมาส ส่งผลให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,760 จุดได้ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมา อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาบริเวณ 1,760 จุดคิดเป็นพีอีเรโชปีนี้ (PER61) ที่ 16.30เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทำให้มองว่ามูลค่า  ( Valuation) ของตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันตึงตัวมากขึ้น

ขณะที่มูลค่าสัญญา Block Trade ที่ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับต่ำสุดในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นอีกปัจจัยเร่งดัชนีหุ้นในรอบนี้ ดังนั้นนักลงทุนควรทยอยขายทำกำไรต่อหุ้นหลักที่ขึ้นมา และหมุนเข้าหาหุ้นกลุ่มที่ขึ้นมาน้อยกว่าตลาดรวม เช่นกลุ่มธนาคาร / กลุ่มวัสดุก่อสร้าง / กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง แนะนำให้ทยอยๆ รับซื้อหุ้นไปตลอดเดือน กันยายน – ต้นตุลาคมนี้เหมือนเดิม โดยปัจจัยหนุนหุ้นไทยช่วงปลายเดือนกันยายนนี้คาดมีโอกาสเกิด Window dressing ส่วนปัจจัยต่างประเทศ เรามองว่าจะมีผลต่อหุ้นไทยแบบจำกัด

การซื้อขายหุ้นของกองทุนไทยช่วง 10ปีย้อนหล

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดว่า ยังมีกระแสเงินทุนไหลเข้า และอาจมีการทำ Window Dressing ปิดกำไรงวด 9 เดือนของปี 2561 แนวโน้มระยะสั้นดัชนี มีโมเมนตัมดี จากเงินทุนไหลเข้า ส่วนหนึ่งจากทิศทางดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้น ขณะที่ระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป  แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย

กลยุทธ์ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่าดัชนีจะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1,730-1,770 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1,860 จุด ที่พีอีเรโช 17 เท่า

บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าเมื่อมีการปรับลดกำไรตลาดหุ้นปี 2561 ลง ทำให้ดัชนีมีค่าพีอีเรโช 16 เท่า และการเติบโตของพีอี ( PEG) แพงสุดในภูมิภาค จึงไม่น่าจะจูงใจต่างชาติ โดยอาจจะเห็นเพียงการซื้อสลับขายเท่านั้น  หลังขายหุ้นไทยมากว่า 2 แสนล้านบาทในปีนี้ กลยุทธ์ยังเลือก Domestic Play ที่ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น CPALL, BJC, SEAFCO, MACO  และหุ้นพลังงานทางเลือกที่มีการเติบโตโดดเด่น แต่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไม่แรง

บล.ทรีนีตี้ ปัจจัยที่คงต้องย้ำเตือนต่อไป ได้แก่ การที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมานั้น มีสาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากแรงเก็งกำไรในตราสารจำพวก Single Stock Futures (SSF) ผ่านธุรกรรม Block trade รวมไปถึงธุรกรรมในตราสาร DW ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เงียบหายไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดระดับ Open interest ของ SSF ปรับตัวสูงขึ้นอีกเกือบ 1 แสนสัญญา

ธุรกรรม Block trade ที่เริ่มกลับมามีความนิยมนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นผลดีต่อดัชนีในระยะสั้น แต่ในท้ายที่สุด หากดัชนีขาดปัจจัยหนุนที่ต่อเนื่องหรือเกิดปัจจัยเสี่ยงรอบใหม่จนทำให้ดัชนีย่อตัวลง อาจทำให้นักลงทุนทยอยปิดสถานะในตราสารดังกล่าว จนทำให้เกิดแรงขายในลักษณะคล้ายๆกับช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมได้อีกครั้ง

ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อไป ซึ่งได้แก่ AMATA, BEM, CPF, IRPC, HMPRO, ITD, JAS, KKP, LPN, PTT, SAMART, STA, THAI, TMB, WHA รวมไปถึงหุ้นที่มีธุรกรรมผ่านตราสาร DW ฝั่ง Call เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีสำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หากต้องการเข้าซื้อหุ้นเหล่านี้ อาจรอให้ราคามีการย่อตัวก่อนค่อยเข้าสะสม น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่า

กลยุทธ์การลงทุน ยังคงคาดการณ์ว่า SET Index จะแกว่งตัวในเดือนนี้ต่อไปในกรอบแนวรับที่ 1,700 จุดและ 1,670 จุด และกรอบแนวต้านที่ 1,740 จุดและ 1,770 จุด แนะนำนักลงทุนที่ Take profit ไปแล้วบางส่วนที่บริเวณดัชนี 1,740 จุด รอดูสถานการณ์ โดยหากดัชนีปรับตัวขึ้นต่อไปที่แนวต้านสำคัญที่ 1,770 มองเป็นโอกาสในการลดพอร์ตการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ  แนวรับ  1,745  แนวต้าน 1,766

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight