Finance

BBL กำไรไตรมาส 3 วูบ 57.43% จากขาดทุนด้านเครดิตพุ่ง 7.6 พันล้าน

ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2563  มีกำไรสุทธิ 4,017 ล้านบาท ลดลง 5,421 ล้านบาท หรือ 57.43% จาก 9,438.41 ล้านบาทในไตรมาส 3/2562 สาเหตุหลักจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดข้ึน 7,570 ล้านบาท

ธนาคารยังคงรักษาระดับสำรองของธนาคารให้เหมาะสมท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มข้ึน 1,742 ล้านบาท เป็นผลของการรวมรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพอร์มาตา

สาหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 4,606 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไร หรือ ขาดทุน(FVTPL) ลดลงตามสภาวะตลาด

อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิไตรมาสน้ีเริ่มปรับตัวดีข้ึนจากการขยายตัวของค่าธรรมเนียมจากบริการวานิชธนกิจ การอำนวยสินเช่ือ และบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม

สาหรับ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มข้ึนเป็นผลจากการรวมค่าใช้จ่ายของธนาคารเพอร์มาตาและประมาณการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการควบรวมสาขาในประเทศอินโดนีเซีย

สำหรับงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิจำนวน 14,783 ล้านบาท  ซึ่งได้รวมผลประกอบการของธนาคารเพอร์มาตา ตั้งแต่วันที่ธนาคารเข้าถือหุ้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2563 โดยกำไรสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นเงินสำรองสำหรับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของสถานการณ์ โควิด-19 ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2  จากช่วงเดียวกันของปี 2562 เป็นผลจากการรวมรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพอร์มาตา โดยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.28   รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงสาเหตุหลักจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้จากเงินลงทุน  สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6 เป็นผลจากการรวมค่าใช้จ่ายของธนาคารเพอร์มาตา และประมาณการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการควบรวมสาขาในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 52.0

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่หดตัวทั่วโลก ธนาคารกรุงเทพยังคงยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ควบคู่กับการดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน และเตรียมพร้อมการรองรับการดำเนินธุรกิจตามบริบทใหม่ (New Normal)

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,367,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.6 จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคล สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 4.1  ขณะที่ธนาคารยังคงรักษาความมั่นคงของอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตที่ร้อยละ 178.0   ทั้งนี้ ธนาคารยังคงให้ความสำคัญในการดูแลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับการดำรงค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,821,883 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.1 จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2563  สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 83.9 สะท้อนถึงสภาพคล่องที่เพียงพอในการรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ในวันที่ 23 กันยายน 2563 ธนาคารออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารภายใต้หลักเกณฑ์ Basel III จำนวน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างเงินกองทุนของธนาคารให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 17.6 ร้อยละ 15.1 และร้อยละ 14.2 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ธนาคารได้ดำเนินการจัดทำคำเสนอซื้อเพื่อเสนอซื้อหุ้นของธนาคารเพอร์มาตาจากผู้ถือหุ้นรายย่อย (Mandatory Tender Offer – MTO)  ตามกฎเกณฑ์ของประเทศอินโดนีเซีย เสร็จสิ้นเรียบร้อย โดยธนาคารถือหุ้นในธนาคารเพอร์มาตาทั้งสิ้นร้อยละ 98.71 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของธนาคารเพอร์มาตา  และเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 ธนาคารกรุงเทพเข้าถือหุ้นสามัญในบริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด เพิ่มเติม จากเดิมมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 35.9เป็นร้อยละ 90.0 ทำให้บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อย

ธนาคารและบริษัทย่อยได้นำมาตรฐานกลุ่มเครื่องมือทางการเงินฉบับใหม่ (ฉบับที่ 9) มาถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป  โดยไม่ปรับงบการเงินเปรียบเทียบย้อนหลัง  การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่  การจัดประเภทและการวัดมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน

การคำนวณการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินโดยใช้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) การบัญชีป้องกันความเสี่ยง  และการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อโดยใช้วิธีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest Rate: EIR)

ราคาหุ้น BBL ปิดตลาดเมื่อวันที่ 20 ต.ค. เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 1.66% อยู่ที่ 91.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 713.65 ล้านบาท

อ่านเพิ่มเติม สรุปผลประกอบการสำหรับงวดสามเดือนและงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563

Avatar photo