การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ. ไทย) โดดเด่นในระดับโลกด้านความยั่งยืนจากการประกาศรายชื่อบริษัทที่เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ประจำปี 2561 โดย บจ. ไทย 5 แห่ง ได้คะแนนเป็นที่หนึ่งด้านความยั่งยืนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม เป็นอันดับสอง รองจากประเทศสหรัฐ ได้แก่ หุ้น BANPU ในกลุ่มถ่านหินและเชื้อเพลิง หุ้น IRPC ในกลุ่มการกลั่น และการตลาดน้ำมันและแก๊ส หุ้น PTT กลุ่มน้ำมันและแก๊สต้นทาง หุ้น TRUE ในกลุ่มบริการโทรคมนาคม และ หุ้น TU ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งทั้ง 5 บจ. อยู่ใน 19 บจ. ไทยที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนี DJSI
โดย หุ้น BTS และ หุ้น SCB เป็น 2 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกเข้าใหม่ในปีนี้ ทั้งนี้ ไทยเป็นที่หนึ่งในประเทศที่มี บจ. ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นสูงสุดในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก (DJSI Emerging Markets)
สำหรับ 19 บจ. ไทยที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืน DJSI ได้แก่ AOT, BANPU, CPALL, CPF, CPN, HMPRO, IRPC, IVL, KBANK, MINT, PTT, PTTEP, PTTGC, SCC, TOP, TRUE, TU, BTS และ SCB
ทั้งนี้ การประกาศรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม DJSI ในครั้งนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2561 โดยมีการทบทวนและประกาศรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม DJSI ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มีความเห็นว่า หุ้นที่ถูกคัดให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มดัชนี DJSI นั้น น่าจะได้รับความสนใจนักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนสถาบัน ที่ใช้ดัชนี DJSI เข้าไปอ้างอิงในพอร์ตลงทุน ซึ่งจะต้องมีการเพิ่มการลงทุนในหุ้นดังกล่าว ดังนั้นมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากนี้ไป
อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ มองว่า เป็นการปรับตัวขึ้นเร็วเกินไปและสัดส่วนนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนไม่สมดุลกัน โดยกองทุนในประเทศเข้ามาซื้อต่อเนื่องในจำนวนมูลค่าที่สูงมาก 6 วันมูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ต่างชาติ แม้จะมียอดซื้อสุทธิแต่ก็ยังไม่สูง หากเทียบกับการเทขายไปแล้วกว่า 2 แสนล้านบาท
“ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยขึ้นเร็วและแรงเกินไป ซึ่งโดยปกติดัชนีเมื่อปรับตัวขึ้นแล้วมักจะมีแรงขายทำกำไรออกมาเพื่อให้ดัชนีพักฐาน ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นไปได้อีก และการที่กองทุนโหมซื้อมูลค่าสูงขนาดนี้ มีโอกาสที่จะต้องขายทำกำไรออกมา ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นอาจปรับลดลงเช่นกัน ดังนั้น จึงควรระมัดระวังการลงทุนด้วย”
เจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ ให้ความเห็นว่า หุ้นที่ได้รับการคัดเลือกเข้า DJSI เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เงินทุนต่างชาติกลับเข้ามา แต่คงต้องเลือกเป็นรายบริษัทและมีประเด็นที่แตกต่างกัน ซึ่งภาพรวมยังคงประเมินว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเป็นบวก แต่ก็ต้องระมัดระวังแรงเทขายทำกำไร แม้ว่ากองทุน และต่างชาติ ก็ยังทยอยซื้อต่อเนื่อง ดังนั้นประเมินว่าดัชนีน่าจะเข้าใกล้ระดับ 1,800 จุดได้ไม่
“เราประเมินดัชนีตลาดหุ้นน่าจะอยู่ระดับ 1,750-1,800 จุด ช่วงนี้ยังคงมองตลาดหุ้นเป็นบวกอยู่เพราะปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะความชัดเจนในการเลือกตั้งส่งผลให้มีแรงซื้อของกองทุนและต่างชาติกลับเข้ามาอีกครั้ง แม้จะยังมองว่าเป็นขาขึ้นแต่ต้องระมัดระวังแรงเทขายทำกำไรระหว่างทางด้วย เพราะโดยปกติเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นแรงก็ต้องมีแรงเทขายออกมาเพื่อทำกำไรก่อนจะปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง”
เมื่อสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 17 – 20 กันยายน 2561 ซึ่งหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อ และเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรง โดยพบว่าหุ้นที่อยู่ในกลุ่มDJSI ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11 หุ้น ลดลงเล็กน้อย 4 หุ้น และราคาไม่เปลี่ยนแปลง 4 หุ้น
กลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นประกอบด้วย หุ้น AOT เพิ่มขึ้น 0.38% หุ้น BANPU 0.52% หุ้น CPALL 2.92% หุ้น HMPRO 2.67% หุ้น IVL 0.42% หุ้น PTT 2.88% หุ้น PTTEP 1.32% หุ้น SCB 0.34% หุ้น SCC 0.45% หุ้น TOP 5.33% หุ้น TU 2.27%
กลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ หุ้น CPN -2.03% หุ้น TRUE -1.67% หุ้น PTTGC-0.91 % หุ้น KBANK-0.93%
กลุ่มหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง คือ หุ้น CPF ,หุ้น IRPC ,หุ้น MINT และ หุ้น BTS
จากข้อมูลดังกล่าวอาจสะท้อนได้ว่า หุ้นที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในกลุ่มดัชนีDJSIนั้น ปัจจุบัน ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาจำนวนไม่มาก และสอดคล้องเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่ได้กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างจริงจัง ดังนั้นผู้ลงทุนอาจหาจังหวะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มนี้ เพื่อรอวันที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามลงทุนอีกครั้ง ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในช่วงนี้
