การที่อิหร่านโดนสหรัฐประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจนั้น ส่งผลให้การจัดหาน้ำมันดิบจากอิหร่านลดลง จนทำให้ผลผลิตน้ำมันจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) และชาติพันธมิตร ลดลงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บั่นทอนความพยายามที่จะเพิ่มการผลิตให้ถึงระดับที่ตกลงกันไว้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับกลุ่มโอเปค ในการเพิ่มกำลังผลิต ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่ต้องการให้ราคาน้ำมันถูกลง
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างแหล่งข่าววงในว่า โอเปค และกลุ่มพันธมิตร ภายใต้การนำของรัสเซีย กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มการจัดหาน้ำมันอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะการคว่ำบาตรของสหรัฐ ต่ออิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโอเปค ทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านต้องลดลง
โอลิเวียร์ ยาคอบ จากบริษัทที่ปรึกษาเปโตรแมทริกซ์ ระบุว่า ถ้าหากมีการเสนอให้เพิ่มการผลิต ก็จะมีข้อโต้แแย้งออกมาจากตลาดอีกว่า จะเป็นการทำให้ปริมาณน้ำมันสำรองลดลง
“ซาอุดีอาระเบียทำพลาดไป ตอนที่พยายามเพิ่มการผลิต เพื่อชดเชยการจัดหาจากอิหร่านที่หายไปจากตลาดแบบครั้งเดียว แต่ตลาดน้ำมันกำลังมองหาความมั่นคงในเรื่องการจัดหา มากกว่าวิธีที่ซาอุดีอาระเบียทำอย่างมาก ทำให้มีความเสี่ยงที่ความต้องการน้ำมันในขณะนี้จะร่วงลง เพราะราคาที่เพิ่มสูงขึ้น”
ทั้งนี้ กลุ่มโอเปค รัสเซีย และประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปคอีกจำนวนหนึ่ง พยายามที่จะหาทางฟื้นฟูราคาน้ำมันที่ดิ่งลงมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้น ด้วยการตัดสินที่จะลดการผลิตลงราว 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อปลายปี 2559
อย่างไรก็ดี ในเดือนมิถุนายนปีนี้ มีการเห็นพ้องที่จะให้แต่ละประเทศ กลับมาเพิ่มกำลังการผลิตให้เต็ม 100% ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันป้อนเข้าตลาดโลกเพิ่มวันละ 1 ล้านบาร์เรล แต่ตัวเลขล่าสุด แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังอยู่ห่างไกลจากกำลังการผลิตดังกล่าว
ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ทะยานขึ้นไปถึง 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนนี้ ยังทำให้ทรัมป์ออกมาทวีตข้อความเรียกร้องที่จะให้โอเปคทำให้ราคาน้ำมันถูกลงอย่างทันที โดยราคาน้ำมันที่แพงขึ้นนั้น อาจจะสร้างความวุ่นวายทางการเมืองให้กับทรัมป์ ก่อนที่จะถึงกำหนดเลือกตั้งรัฐสภากลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนนี้