Politics

‘โฆษกรัฐบาล’ ยืนยันประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเรื่องจำเป็น ย้ำห้ามชุมนุม!

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำเป็น! “โฆษกรัฐบาล” ยืนยันเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันเหตุการณ์ความรุนแรง ย้ำ! ห้ามชุมนุมทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ราชประสงค์

ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออก ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมประกาศ 4 ฉบับว่า สำหรับเหตุผล และความจำเป็นที่ต้องประกาศ เพื่อให้เกิดความสงบเรียร้อยในประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และเพื่อป้องกันเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

โดยจะเห็นจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) ที่มีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับชาวไทยจำนวนมาก จากกรณีการชุมนุมที่กระทบขบวนเสด็จพระราชดำเนิน และมีการก้าวล่วงสถาบัน โดยการใช้วาจาปลุกปั่นก้าวล่วง ดังนั้น รัฐบาลป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างคนไทยด้วยกันเอง เพราะจะเห็นว่า หลายส่วนไม่ต้องการให้กลุ่มชุมนุมก้าวล่วงและพาดพิง  รวมทั้งไม่ต้องการเหตุการณ์การแบบเมื่อวานขึ้นอีก

ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจึงต้องขอความร่วมมือประชาชนให้ระมัดระวังการดำเนินการต่างๆ หลังจากนี้ไป โดยมีข้อกำหนดได้แก่

  1. ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือกระทำการใด อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
  2. ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด รวมตลอดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บรรดาที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูล
  3. ห้ามใช้เส้นทางคมนาคม หรือยานพาหนะ หรือให้ใช้เส้นทางคมนาคม หรือยานพาหนะโดยมีเงื่อนไข ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด
  4. ห้ามใช้ เข้าไป หรืออยู่ในอาคารหรือสถานที่ใดๆ และให้ออกจากอาคาร หรือสถานที่ใด ๆ ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ รัฐบาลมีความกังวลจึงต้องป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต และเพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากลุ่มที่มีความเห็นต่างกัน ซึ่งคิดว่า การพูดคุยกันในเวทีรับฟังความคิดเห็นสามารถทำได้ รัฐบาลอยากให้ผู้ชุมนุมเคารพในสิทธิและเสรีภาพส่วนรวมด้วย

โดยเฉพาะปัจจุบัน ยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังโควิด-19 และด้านเศรษฐกิจ ที่หลายส่วนย้ำว่า ถ้ามาตรการที่จะออกมาและมาตรควบคุมโรคที่ได้รับความชื่นชมจากต่างประเทศ จะไม่ประสบความสำเร็จหากในประเทศไม่สงบเรียบร้อย ดังนั้น ขอให้ระมัดระวังเรื่องที่เกิดกระทบกระทั่งกับปัญหาเหล่านี้ด้วยและเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า

นายอนุชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่สำคัญในโซเชียลมีเดียที่ ต้องขอให้ระมัดระวังการโพสต์ข้อความและความเห็นต่างๆ เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องชุมนุมอย่างเดียว แต่มีการใช้โซเชียลในทางที่ไม่ถูกต้อง ในส่วนของแกนนำหรือผู้กระทำผิดกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ แต่รัฐบาลขอให้ทุกคนร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป

ทั้งในส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ขอให้พูดคุยกันด้วยความเรียบร้อย และอยู่ในกรอบของกฎหมาย

เมื่อถามถึงกรณีกลุ่มคณะราษฎร์ ยังคงนัดรวมตัวกันที่แยกราชประสงค์ ในเวลา 16.00 น. วันเดียวกันนี้ นายอนุชา กล่าวว่า มีการประกาศข้อกำหนดไปแล้วตามที่ตนได้ระบุ ซึ่งอะไรที่นอกเหนือนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการ จึงขอให้ระมัดระวังเรื่องการทำผิดกฎหมายให้มาก เพราะประกาศและคำสั่งต่างๆ มีผลบังคับใช้ทันทีหลังลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว

นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะเล็ก โดยวาระเพื่อให้ครม.รับทราบและเห็นชอบในประกาศและคำสั่งต่างๆ ที่ออกมา

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่า จะไม่ให้มีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ใช่หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า จริงๆ ชุมนุมไม่ได้อยู่แล้วตามประกาศ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งรวมทุกพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่เฉพาะพื้นที่ราชประสงค์

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงหรือกำชับอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ย้ำมาตลอดว่าตอนนี้อยากให้ทุกคนช่วยกันเดินหน้าประเทศไทย โดยเน้นย้ำรวมไทยสร้างชาติ โดยขอให้ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันและร่วมกันฟันฝ่าปัญหาเศรษฐกิจและโควิด รวมถึงฟันฝ่าเรื่องอื่นๆ ย้ำว่ารัฐบาลพร้อมรับฟัง แต่ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย เพื่อให้ประเทศเดินได้โดยหลักนิติธรรม

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แถลงแจ้งเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการชักชวนรวมตัวบริเวณแยกราชประสงค์ช่วงเย็นวันนี้ ว่า จะมีความผิดกฎหมาย ฐานฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร โดยขอให้งดการรวมตัวชุมนุมอย่างเด็ดขาด ซึ่งตามขั้นตอนปฏิบัติ หากมีการรวมตัวชุมนุม เจ้าหน้าที่จะมีการแจ้งเตือนก่อน พร้อมให้เวลาผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ แต่หากฝ่าฝืน เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องมีการเข้าควบคุมตัวตามกฎหมาย แต่เชื่อว่า เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ประชาชนจะปฏิบัติตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวอีกว่า จากนี้ตำรวจจะมีการตั้งจุดตรวจความมั่นคง ให้เป็นไปตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยอาจเกิดผลกระทบกับประชาชนทั่วไปบ้าง ขณะเดียวกัน ตั้งแต่เวลา 13.00 น. จะมีการเปิดกองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง หรือ “กอร.ฉ.” โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งจะมีการเชิญหน่วยร่วมปฏิบัติเข้าหารือแนวทางปฏิบัติ

“ยืนยันว่าการชุมนุมมั่วสุมเกิน 5 คน ที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง สามารถทำได้ พร้อมระบุว่า ขณะนี้ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ยังคงบังคับใช้เฉพาะ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่หากสถานการณ์ลุกลาม ไปยังจังหวัดอื่น ๆ ก็อาจมีการพิจารณาประกาศเพิ่ม” พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าว

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันด้วยว่า จากการเข้าจับกุมผู้ร่วมชุมนุมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สามารถควบคุมตัวกลุ่มผู้ชุมนุม จำนวน 22 คน โดยมี 4 คน เป็นแกนนำ ได้แก่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นายอานนท์ นำพา นายประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ และ นางปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล

ส่วนอีก 22 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยในรายชื่อทั้งหมด ยังไม่มีนายภานุพงษ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง รวมอยู่ด้วย ซึ่งหลังจากนี้หากพบผู้ใดกระทำความผิด หรือมีหมายจับ ก็จะดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo