เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตชัดเจน สะท้อนจาก “จีดีพี” ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2560 ที่ระดับ 4.0% ไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 4.9% ไตรมาสสอง 4.6% คาดการณ์ปี 2561 อยู่ที่ 4.2-4.7% เช่นเดียวกับสัญญาณบวกอื่น ๆ ทั้งส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ การลงทุนเอกชน ที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง
สอดคล้องกับเม็ดเงินโฆษณาปีนี้ที่ 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) เริ่มกลับมาเติบโตที่ 1.1% จากปี 2560 ติดลบ 3.3% โดยเริ่มกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ กรกฎาคม เป็นต้นมา
ชุมพล ศิวเวทกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการห้างค้าปลีก บริษัท นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าเมื่อวิเคราะห์ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) มีสัญญาณบวกเช่นเดียวกัน นับจากปี 2559 ด้าน “มูลค่า” การใช้จ่ายสินค้ากลุ่มนี้อยู่ในอัตราติดลบ โดยไตรมาส4 ปี 2559 ติดลบ 3.4% ช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 ติดลบ 5%
โดยปี 2561 เริ่มเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง ไตรมาสแรกด้าน “มูลค่า” ติดลบ 2.6% ไตรมาส 2 ติดลบ 0.7% ด้าน “ปริมาณ” ไตรมาสแรกติดลบ 4.9% ไตรมาส 2 ติดลบ 2.8% แม้ด้านมูลค่าและปริมาณติดลบ แต่พบว่า “ราคา” ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง มาจากปัจจัยสินค้าพรีเมียมที่ราคาต่อชิ้นสูง และการซื้อสินค้าบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ขึ้น
พบว่าการจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเริ่มมีสัญญาณฟื้นตั้งแต่เดือน พฤษภาคมปีนี้ ด้าน “มูลค่า” ติดลบ 0.1% มิถุนายน ติดลบ 0.1% กรกฎาคม เติบโต 3%
ด้าน “ปริมาณ” เดือนพฤษภาคม ติดลบ 2.3% ,มิถุนายน ติดลบ 2.2% และกรกฎาคม กลับมาเติบโต 0.2% ขณะที่ “ราคา” เดือนพฤษภาคม เติบโต 2.3% มิถุนายน เติบโต 2.1% และกรกฎาคม เติบโต 2.8%
อย่างไรก็ตามหาก “ไม่นับรวม” สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูง พบว่าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ด้าน “มูลค่า” เริ่มกลับมาเติบโตตั้งแต่เดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 2.2% มิถุนายน เติบโต 2.2% และกรกฎาคม เติบโต 3.8% ด้าน “ปริมาณ” เดือนพฤษภาคม เติบโต 1.0% มิถุนายน เติบโต 1.2% และกรกฏาคม เติบโต 1.8%
4 เทรนด์ดันตลาด FMCG โต
แม้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค อยู่ในภาวะเติบโตต่ำนับตั้งแต่ปี 2559 แต่พบว่ายังมีโอกาสเติบโตได้จาก 4 เทรนด์หลัก ประกอบด้วย
เทรนด์ที่ 1 พื้นที่เมืองขยายตัว (Urbanization)
ในเอเชียแปซิฟิก ปี 2558 ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองมีสัดส่วน 47% คาดว่าปี 2568 จะเพิ่มเป็น 53% หรือมีจำนวน 374 ล้านคน ประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองเพิ่มขึ้น คือ ประเทศไทย สัดส่วน 60% ประเทศจีน 65% อินโดนีเซีย 60%
ปี 2568 ประเทศไทยจะมีประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของพื้นที่เมือง โดยกรุงเทพฯ จะมี ประชากรเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านคน เติบโต 18% ส่วนเมืองรอง 20 จังหวัด (1-5 ล้านคน) ประชากรเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านคน เติบโต 62% เมืองขนาดเล็ก (5 แสน-1ล้านคน) 33 จังหวัด ประชากรเพิ่มขึ้น 9 แสนคน เติบโต 91%
“จังหวัดเมืองรองในประเทศไทยหลายจังหวัดที่มีศักยภาพเติบโตสูง จากการขยายการลงทุนด้านต่างๆ ทั้งค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว ส่งผลให้พื้นที่เมืองขยายตัว ประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีการจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
เทรนด์ที่ 2 การเติบของนักท่องเที่ยวจีน
พบว่าปี 2559 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 135 ล้านคน และประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวของชาวจีน ในปี 2559 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 32 ล้านคน มีนักท่องเที่ยวจีน 8.8 ล้านคน เติบโต 28% จากปีก่อนหน้า
พบว่านักท่องเที่ยวจีน สัดส่วน 55% เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือมาก 1 ล้านบาทต่อปี รูปแบบการท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ 39% ใช้เวลาท่องเที่ยว 6.8 วันต่อทริป ใช้จ่าย 7,023 บาทต่อวัน และนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) 61% ใช้เวลาท่องเที่ยว 9.2 วันต่อทริป ใช้จ่าย 5,957 บาทต่อวัน
พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีน นิยมใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิตของธนาคารต่างๆ 42% โมบายเพย์เมนท์ 28% และเงินสด 30% โดย 91% นิยมชำระเงินผ่านโมบายเพย์เมนท์แบรนด์ต่างๆ จากประเทศจีน เช่น อาลีเพย์
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวจีน นิยมซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศไทย “ช้อปปิ้ง ลิสต์” 4 กลุ่ม คือ สแน็ค ยา/สมุนไพร ของใช้ส่วนบุคคล (personal care) และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
“ผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ต้องการเจาะตลาดจีน ต้องพัฒนาช่องทางการชำระเงินที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมใช้ อีกทั้งต้องวางกลยุทธ์สื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ ที่ชาวจีนนิยมใช้งานเช่นกัน”
เทรนด์ที่ 3 กำลังซื้อตลาดสูงวัย
ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยและจะเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบในปี 2568 ที่จะมีประชากรอายุ 50 ปีขึ้นไป สัดส่วน 40% ขณะที่ประชากรสูงวัยในเอเชียแปซิฟิก ปี 2568 มีจำนวน 290 ล้านคน ประชากรกลุ่มนี้ ถือเป็นอีกตลาดสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นโอกาสของสินค้าอุปโภคบริโภคในการพัฒนาสินค้าเพื่อเจาตลาดนี้
สินค้าสำหรับกลุ่มสูงวัย จะต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เปิดได้ง่าย ตัวอักษรขนาดใหญ่ สีโดดเด่น ปริมาณสินค้าไซส์เล็กลง เพราะกลุ่มสูงวัยรับประทานอาหารต่อมื้อลดลง และต้องมีบริการจัดส่งถึงบ้าน
พบว่าห้างสรรพสินค้าที่ญี่ปุ่น ได้ติดตั้งแว่นตาขยายไว้ที่ชั้นวางสินค้าเพื่อให้กลุ่มสูงวัยใช้ดูฉลากผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจน รวมทั้งบริการส่งสินค้า
เทรนด์ที่ 4 มุ่งทำตลาดแบบเจาะลึกมากขึ้น
ปัจจุบันร้านค้าปลีกไทยแบ่งเป็น โมเดิร์นเทรด 50% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม 50% จำนวนร้านค้าปลีกล่าสุดเดือย กรกฎาคม 2561 แบ่งเป็น ไฮเปอร์มาร์เก็ต 340 สาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต 901 สาขา , ร้านสุขภาพและความงาม 936 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ 14,842 สาขา ร้านโชห่วย 4 แสนร้านค้า
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดต่างจังหวัด รูปแบบ SEMI-Retailer ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกภูธร ที่พัฒนารูปแบยร้านค้าและนำเทคโนโลยีมาใช้งานเช่นเดียวกับโมเดิร์นเทรด และขยายเครือข่ายในต่างจังหวัด เช่น ตั้งงี่สุน อุดรธานี ,ซุปเปอร์ชีป ภูเก็ต
“ร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดภูธร เป็นอีกช่องทางที่มีการเติบโตสูง จากการขยายตัวของพื้นที่เมือง รองรับกำลังซื้อในต่างจังหวัดและเป็นอีกช่องทางที่สินค้าอุปโภคบริโภคจะเข้าไปเจาะตลาดนี้”