Economics

ย้ำเงื่อนไขสำคัญโครงการ ‘คนละครึ่ง’ เช็คที่นี่ก่อนรับเงิน 3000 บาท!

แจกเงิน 3000 บาท ย้ำเงื่อนไขสำคัญโครงการ “คนละครึ่ง” เช็คที่นี่ก่อนรับเงิน 3000 บาท เตือนลงทะเบียนแล้วไม่ใช้สิทธิ์ภายใน 14 วัน จะถูกตัดสิทธิ์ทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบศ. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “โครงการคนละครึ่ง” หรือมาตรการ แจกเงิน 3000 บาทที่รัฐบาลจะให้สิทธิประโยชน์แบบ Co-pay ร่วมกันจ่ายคนละ 50% ไม่เกิน 100 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนจำนวน 10 ล้านคนด้วยกัน

ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ ลงทะเบียนคนละครึ่ง ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ที่รัฐได้จัดทำขึ้นเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ และจะเปิดให้ลงทะเบียนแยกเป็นกลุ่มๆ เช่นเดียวกับมาตรการที่ผ่านมาทั้ง “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “ชิม ช้อป ใช้”

แจกเงิน 3000

สำหรับประเภทร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นกิจการประเภท ร้านอาหาร, เครื่องดื่ม, สินค้าทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ได้จดทะเบียนในรูปแบบนิติบุคคล ไม่เป็นร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจเฟรนไชส์ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนสำหรับร้านค้าในวันที่ 1 ตุลาคม 2563

ส่วนประชาชนทั่วไป รัฐบาลเปิดให้ ลงทะเบียนคนละครึ่ง ในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ระยะเวลาของโครงการคือตั้งแต่ ตุลาคมไปจนถึงธันวาคม 2563 จึงจะสิ้นสุดโครงการนี้

ล่าสุด นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) กระทรวงการคลัง ได้รายงานความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ว่า ตั้งแต่ที่ได้เริ่มให้ร้านค้าเริ่มลงทะเบียนได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมานั้น ล่าสุด ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2563

มีร้านค้าลงทะเบียนทั้งหมดแล้ว 210,010 ร้าน แบ่งเป็นร้านค้าที่ลงทะเบียนที่สำเร็จแล้ว 152,795 ร้าน โดยส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบ กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ แบ่งออกเป็นกิจการที่มีหน้าร้านจำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่ แผงลอย จำนวน 24,943 ร้าน

ทั้งนี้ ประเภทของร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 90,052 ร้าน ส่วนร้านธงฟ้ามีจำนวน 41,331 ร้าน ร้าน OTOP มีจำนวน 4,991 ร้าน และเป็นร้านค้าทั่วไปจำนวน 16,421 ร้าน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามภูมิภาค ร้านค้าส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางจำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็น 34.8% รองลงมาอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็น 25.0% และภาคใต้จำนวน 37,229 ร้าน คิดเป็น 17.7%

ส่วนรายจังหวัด พบว่า ร้านค้าที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 25,526 ร้าน คิดเป็น 12.2% รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7,105 ร้าน คิดเป็น 3.4% และจังหวัดสงขลา จำนวน 6,516 ร้าน คิดเป็น 3.1%

ทั้งนี้ นายอนุชา กล่าวว่า ร้านค้ารายย่อย หาบเร่ แผงลอย สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.คนละครึ่ง.com หรือ ติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา

ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่ www.คนละครึ่ง.com เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป และรอรับ SMS ยืนยัน โดยจะเริ่มใช้สิทธิใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จนถึง 31 ธันวาคม 2563 และหากไม่ใช้สิทธิ์ภายใน 14 วัน จะถูกตัดสิทธิ์ทันที

โดยโครงการคนละครึ่งนี้ รัฐบาลจะช่วยจ่าย 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อวันต่อคน รวมไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ สำหรับประชาชนคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป และไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ สามารถนำไปใช้จ่ายซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป โดยไม่รวมถึงสลากกินแบ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และบริการต่างๆ

แจกเงิน 3000

สำหรับเงื่อนไขในการลงทะเบียน ได้แก่

  • เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย
  • อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
  • มีบัตรประจำตัวประชาชน

ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 06.00 น. – 23.00 น. จำกัดจำนวนไม่เกิน 10 ล้านคน

โดยผู้ได้รับสิทธิ์ต้องยืนยันตัวตนผ่าน g-Wallet แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” อีกขั้นตอนหนึ่งด้วย จึงจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรับสิทธิ์ได้ ซึ่งการใช้จ่ายจะมีช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2563 ในเวลา 06.00 น. – 23.00 น.

ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญของโครงการนี้ คือ ผู้ได้รับสิทธิ์จะต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ์หรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์และไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก โดยสิทธิ์ที่ถูกตัดจะนำไปเปิดให้ลงทะเบียนใหม่

สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เวลา 06.00 น. – 23.00 น. ผ่านเว็บไซต์ หรือลงทะเบียนผ่านทางสาขาธนาคารกรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทยจะช่วยติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อใช้ในการรับชำระเงินจากการขายสินค้า

ขั้นตอนการใช้สิทธิ์หลังจากลงทะเบียนสำเร็จ คือ

  • รอ SMS แจ้งผลการลงทะเบียน
  • จากนั้นให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
  • ยืนยันตัวตนใช้สิทธิ์ผ่าน g-Wallet แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
  • ใช้จ่ายตามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2563 จำกัดเวลาตั้งแต่ 06.00 น. – 23.00 น.
  • ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ต้องเริ่มใช้จ่าย ภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ์ หรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ

ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการรองรับพี่น้องประชาชนจำนวน 10 ล้านคนที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม เป็นต้นไป โดยเมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์แล้วจะมี SMS แจ้งผลการลงทะเบียน จากนั้นให้ดาวน์โหลดแอปฯ “เป๋าตัง” เพื่อยืนยันตัวตนใช้สิทธิ์ผ่าน G-wallet โดยสามารถรับสิทธิใช้จ่ายตามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2563 สอบถามได้ที่สาขากรุงไทยทั้ง 1,014 แห่ง

แจกเงิน 3000

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo