Politics

ผู้ชุมนุม ‘ปั่นกระแส ยั่วยุ ปลุกระดม’ ซูเปอร์โพลเผย ‘สังคมรับไม่ได้’

ผู้ชุมนุม ปั่นกระแส จาบจ้วง ซูเปอร์โพล เผย สังคมรับไม่ได้ ประชาชนชี้ ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติโควิด แนะ 3 ทางออกประเทศไทย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง สังคมรับไม่ได้ กรณีศึกษา ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน – 3 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่า สังคม รับไม่ได้กับกรณีที่ ผู้ชุมนุม ปั่นกระแส จาบจ้วง

ผู้ชุมนุม ปั่นกระแส จาบจ้วง

ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.6 ระบุ รับไม่ได้จากขบวนการปั่นกระแส ยั่วยุ ปลุกระดม ต่าง ๆ ในเรื่อง การใช้อารมณ์ ไร้เหตุผล รองลงมาคือ ร้อยละ 96.1 ระบุ จาบจ้วง ล่วงละเมิด ทำลายเสาหลักของชาติ, ร้อยละ 95.7 ระบุ คุกคาม ทำลายผู้อื่น ที่เห็นต่าง ร้อยละ 94.1 ระบุ ใส่ร้าย ป้ายสี พ่นสี และสาดสี และร้อยละ 93.4 ระบุ ก้าวร้าว หยาบคาบ ใช้คำไม่สุภาพ ตามลำดับ

ประเด็นที่น่าพิจารณา คือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 97.4 ระบุรับไม่ได้ เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุม ละเมิดกฎหมาย ทำลายทรัพย์สินส่วนรวม คุกคาม ทำร้ายกัน ในขณะที่ เพียงร้อยละ 2.6 รับได้

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 89.9 ระบุ ข่าวการชุมนุม เป็นการ ซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจ และ วิกฤติโควิด ในขณะที่ร้อยละ 10.1 ระบุไม่เป็นการซ้ำเติม ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 89.0 ไม่ต้องการการแสดงออก ของกลุ่มประชาธิปไตย ที่ล่วงละเมิด ทำลายผู้อื่น ทำให้คนเห็นต่าง เดือดร้อน คุกคาม ใช้ความรุนแรง ในขณะที่ร้อยละ 11.0 ต้องการ

ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.8 เป็นทุกข์ใจ เมื่อเห็น ม็อบก่อเกิดความรุนแรงบานปลาย ในขณะที่ร้อยละ 5.2 ระบุไม่เป็นทุกข์

ผลโพลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ รับไม่ได้ กับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มุ่งสู่การเผชิญหน้า เพราะประชาชนส่วนใหญ่ ทราบดีว่า จะมีประโยชน์อะไรที่จะชนะบนซากปรักหักพัง และการสูญเสีย อันเป็นการซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติโควิด ขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง และต่อสังคม ที่อาจจะได้รับผลกระทบความเสียหาย จากการเผชิญหน้ากัน ของกลุ่มผู้ชุมนุม

ผู้ชุมนุม ปั่นกระแส จาบจ้วง

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวอีกว่า จะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ต้องการให้เกิดการสูญเสีย เพื่อพวกเขา และพวกพ้อง จะได้รับผลประโยชน์จากการเผชิญหน้า และความสูญเสียที่เกิดขึ้น สุดท้าย ลุ่มคนที่เป็นผู้นำ (leaders) ปลุกปั่นไปสู่การสูญเสีย มักจะได้ผลประโยชน์ส่วนตัว และของพวกพ้อง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

แต่กลุ่มคนที่เป็นผู้ตาม (followers) ไปสู่การเผชิญหน้า และสูญเสีย มักจะไม่ได้อะไร ผลที่ตามมาคือ คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ คือ ผู้แพ้ แต่คนหยิบมือเดียว คือ ผู้ที่ชนะสามารถกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวได้ จากการเผชิญหน้า และการสูญเสีย

ดังนั้น ทางออกของประเทศ ในสสถานการณ์ที่เปราะบางนี้ มีแนววางที่เป็นไปได้อย่างน้อย สามแนวทาง คือ

แนวทางแรก ฝ่ายอำนาจรัฐ (State Power) ตอบสนองความต้องการของฝ่ายเรียกร้อง แต่อยู่ภายใต้กฎหมำย ใครผิดก็ว่าไปตามผิดที่สังคม (Non-State Power) ยอมรับได้

แนวทางที่สอง ทุกฝ่ายรู้เท่าทัน การปลุกปั่นกระแสที่กำลังเกิดขึ้น จากต้นตออย่างน้อยสองส่วนคือ ส่วนแรก การใช้เทคโนโลยีผ่าน บอต (bot) และเอไอ (Ai) ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของโลกโซเชียล กระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้คนที่เคยอยู่กลาง ๆ ถูกผลักเลือกข้าง และ ส่วนที่สอง คือ การใช้กลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่ง เปิดประเด็นปั่นกระแสจากหลักร้อย ปั่นเป็นหลักล้าน ตามที่หลายฝ่ายทราบดีจึงต้องรณรงค์ให้เกิดความรู้เท่าทัน

แนวทางที่สาม การใช้การชี้แจง ด้วยเหตุผล และหลักฐาน ชนะใจกลุ่มพลังเงียบ ถึงแม้ว่ากลุ่มตั้งตน เป็นฝ่ายตรงข้าม จะไม่ยอมรับการชี้แจง ที่พวกเขาจะมองว่าเป็นการแก้ตัวก็ตาม แต่ก็ต้องชี้แจง ไม่ใช่เดินหนี เพราะจะเสียกลุ่มคนไปสองกลุ่ม หรือ
อาจจะเสียกลุ่มเคยอยู่เป็นพวกไปด้วยก็ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo