Economics

จับตา! 7 ต.ค. คลังจ่อเสนอ ‘ศบค.’ เคาะมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม

คลัง จ่อเสนอที่ประชุม “ศบค.” ไฟเขียวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เน้นมาตรการถูกฝาถูกตัว เพื่อเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัด กระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจการ คลัง (สศค.)อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเตรียมหารือกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปในรายละเอียดก่อนเสนอให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน พิจารณาในวันที่ 7 ตุลาคมนี้

ทั้งนี้ แนวทางเบื้องต้น ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะเน้นให้ความช่วยเหลือ กับผู้ประกอบการ หรือ กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีความชัดเจน และ ถูกฝาถูกตัวมากขึ้น เพื่อให้ผลที่ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด

คลัง

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาจะต้องชัดเจน ถูกฝาถูกตัวมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเคยทำมาแล้ว ในเรื่องบุคคลธรรมดา คลังก็พยายามออกแบบหลายมาตรการ ให้ถูกฝาถูกตัว เพราะเป้าหมายหลัก คือ ต้องการดูแลเศรษฐกิจในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี งบประมาณ รายจ่าย สินเชื่อ โดยที่ผ่านมาแนวโน้มเศรษฐกิจก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ” นายกฤษฎา กล่าว

ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ประกอบการหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่จะทำหลังจากนี้ต้องเริ่มทำให้ถูกฝาถูกตัว โดยมีการเชิญหน่วยงานต่าง ๆ มาหารือ เพื่อให้ สศค.นำแนวทางทั้งหมดไปวางแผนให้ชัดเจนเพื่อดำเนินการในระยะต่อไป ไม่เพียงระยะสั้น แต่ยังมองระยะกลาง และระยะยาวด้วยว่า ควรจะมีมาตรการอะไรบ้าง ซึ่งการประชุมกันในวันนี้ เพื่อนำข้อเสนอแนะจากทุกหน่วยงานมาพิจารณาการทำมาตรการของกระทรวงการคลังที่ออกมาจะต้องเดินหน้าได้จริง ไม่ฝัน ทำแล้วต้องเห็นผลอย่างแท้จริง

นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า ได้หารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยืนยันชัดเจนว่า แผนการกู้เงินของรัฐบาลในช่วง 5 ปี จะไม่ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศขยายตัวเกิน 60% ของจีดีพี โดยจากประมาณการพบว่าสูงสุดจะอยู่ที่ 57% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง และกรอบความยั่งยืนทางการคลังตลอด 5 ปีจากนี้ ส่วนงบประมาณขาดดุลจะอยู่ที่ไม่เกิน 3% ของจีดีพี ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปกติที่ผ่านมาที่งบประมาณขาดดุลจะอยู่ที่ 2.8 – 2.9% ของจีดีพี

ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2564 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.67 ล้านล้านบาท ภายใต้ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2564 ที่ สศค. ประเมินว่าจะขยายตัวที่ 4-5% โดยทุกหน่วยงานยืนยันว่า สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีขั้นตอน วิธีการที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่า ปีงบประมาณ 2564 จะเป็นปีที่ยากลำบากในเรื่องการจัดเก็บ แต่ผู้บริหารกระทรวงการคลังยืนยันการจัดเก็บรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายแน่นอน ส่วนการเบิกจ่าย ได้พยายามเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการ ทั้งรัฐวิสาหกิจ และส่วนราชการทั้งหมด เพื่อรักษาบทบาทของภาครัฐในการเป็นผู้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

“ไม่คุยเรื่องการปรับเป้าหมาย หรือ ลดเป้าหมายการจัดเก็บ ทุกอย่างต้องเดินหน้าตามเอกสารงบประมาณ ตอนนี้สิ่งที่คลังพยายามทำคือ ดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปได้ตามแผน เพราะตัวเลขรายได้ในปีงบประมาณ 2564 ก็ต่ำกว่าตัวเลขการจัดเก็บจริงในปีงบประมาณ 2562 อยู่แล้ว ส่วนปีงบประมาณ 2563 คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีเหตุเข้ามากระทบ โดยปีงบประมาณ 2564 สศค. เองก็มองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น” นายกฤษฎา กล่าว

ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจโตได้อย่างที่คิด ก็มีโอกาสและความเป็นไปได้สูงที่จะทำได้ตามเป้าหมาย ซึ่งวันนี้คลังมาคุยกัน ต้องทำงานเป็นทีมคลัง ไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง มาปรึกษากันเพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน ทุกอย่างต้องเป็นรูปธรรมมากขึ้น ก็หวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาหลังจากนี้จะทำให้การทำงานของคลังราบรื่นขึ้น

ส่วนกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พร้อมทำงานกับทุกคน หลังมีกระแสข่าวว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะมาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมระบุว่า เชื่อว่า บุคคลที่จะเข้ามานั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากนี้ เป็นบุคคลที่มีความสามารถ ซึ่งในส่วนของนายอาคมเอง ก็เป็นบุคคลที่มีความเข้าใจด้านเศรษฐกิจและใกล้ชิดกับภาคเอกชนด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo