Finance

คาดหุ้นไทยโค้งสุดท้ายพุ่งสูงสุดที่ 1,347 จุด จับตาการเมือง!

หุ้นไทย โค้งสุดท้าย “สมาคมนักวิเคราะห์” คาดแกว่งสูงสุดที่ 1,347 จุด และต่ำสุดที่ 1,198 จุด ชี้ “การเมือง” ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แนะถือเงินสด 20% ของพอร์ต พร้อมเปิด 4 หุ้นเด่น

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ และ ผู้จัดการกองทุนต่อมุมมอง ด้านการลงทุน และ คาดการณ์ดัชนีราคาหุ้นไทยไตรมาส 4/2563 คาดจีดีพีไทยปี 2563 ติดลบ 7.81% และกลับมาเป็นบวก 3.91% ในปี 2564

หุ้นไทย

ส่วนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 40.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 81% มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ในปีนี้ ขณะที่อีก 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 0.25% ในช่วงไตรมาส 4/2563

ทั้งนี้ มองว่า ดัชนี หุ้นไทย คาดการณ์ค่าเฉลี่ย SET Index ช่วงตุลาคมถึงสิ้นปี 2563 สูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,347 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 1,198 จุด โดยมีปัจจัยบวก ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอี ของประเทศสำคัญทั่วโลก รองลงมา คือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาและทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย

ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ รองลงมา คือ ปัจจัยการเมืองต่างประเทศ สถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจภายในประเทศ และ Fund Flow จากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย

พร้อมคาดเป้าหมายดัชนี หุ้นไทย สิ้นปี 2563 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 จุด ซึ่งน้อยกว่าผลสำรวจของช่วงไตรมาส 3 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,383 จุด และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปีนี้ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่เฉลี่ย 65.44 บาท มาอยู่ที่ 57.36 บาทต่อหุ้น

โดยนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน เสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งดำเนินนโยบายการคลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อ อาทิ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ช่วยเหลือผู้ว่างงาน และการกระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการช็อปช่วยชาติ นอกจากนี้ ยังเสนอให้เร่งโครงการลงทุนภาครัฐ รวมทั้งการช่วยเหลือภาคธุรกิจ

ส่วนการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำให้มีเงินสด 20% ของพอร์ต ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้น 21% รองลงมา คือ หุ้นต่างประเทศ หรือกองทุนต่างประเทศ 20% ลงทุนในทองคำ 10% และกองทุนอสังหาฯ REIT 10%

สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ ได้แก่

  • ADVANC โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้สมาร์ทโฟนมีสูงและต่อเนื่องใน New Normal
  • BDMS โดยคาดว่า จำนวนรายได้จากผู้ป่วยชาวไทย จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับ การควบคุมการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ภายในประเทศไทย ทำได้ดี จะเพิ่มความเชื่อมั่น ในการเข้ารับบริการรักษาในพยาบาลภายเอกชนในประเทศเพิ่มขึ้น หากมีการพัฒนาวัคซีนป้องกัน ที่ได้ผลดี และมีการกระจายออกสู่ในวงกว้างได้ครอบคลุม คนไข้ชาวต่างชาติ จะเริ่มเดินทางกลับเข้ามารับการรักษาตัวในประเทศไทยได้
  • CPALL โดยคาดว่าจะกลับไปเติบโตได้หลังโควิด รวมทั้งการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้ง ลาว และ กัมพูชา
  • HANA โดยมองว่าปัจจัยหนุน ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน 2.การกลับมาผลิตโรงงานในประเทศจีนของ HANA หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ 3.ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า จะส่งผลดียอดคำสั่งซื้อของลูกค้า

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรมและสายการบิน

หุ้นไทย

หุ้นไทยเดือนตุลาคม เสี่ยงหลุด 1,200 จุด

ด้าน นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคม นี้ มีแนวโน้มทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,250 – 1,200 จุด และอาจจะหลุด 1,200 จุดได้ในระยะสั้นๆ เนื่องจากมีปัจจัยกดดันตลาด คือ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอน นักลงทุนยังรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ติดตามการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ และ รอการประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/64 โดยเฉพาะสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ดังนั้นจึงจะกดดันภาพรวมการลงทุนในเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม ระดับดัชนีที่ 1,250 จุด ก็เป็นระดับดัชนีที่มีความน่าสนใจในการเข้าสะสม ก่อนที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐ จะออกมาชัดเจน และมีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาดันดัชนีในช่วงหลังประกาศผลการเลือกตั้งสหรัฐออกมา ซึ่งน่าจะผลักดันให้ดัชนี SET ปิดตัวในปีนี้ที่ระดับ 1,300 จุด

ส่วนในปี 2564 คาดการณ์ว่าดัชนี SET จะอยู่ที่ระดับ 1,400 จุด จากความชัดเจนเรื่องการผลิตวัคซีนรักษาโควิด-19 ทำให้ตลาดคลายความกังวลลง และจะเริ่มเห็นการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น

สำหรับคำแนะนำการลงทุนโค้งสุดท้าย เน้นเลือกซื้อหุ้นรายตัว ดังนี้ Core Portfolio ยังคงเน้นหุ้น defensive ที่มีคุณภาพสูง เช่น BAM, BDMS, CBG, EGCO และ GFPT , Tactical Portfolio เน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น AP, PTT และ TOP และ S-Curve Portfolio เน้นหุ้นขนาดเล็กที่มี story การเติบโตอย่างโดดเด่น และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น AUCT, IIG, PRIME, SVI, WICE และ ZIGA

 อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo