Economics

ประเมิน ‘คนละครึ่ง’ หนุนค้าปลีกไตรมาส 4 ดันจีดีพีติดลบลดลง!

คนละครึ่ง “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินมาตรการ “แจกเงิน 3000 บาท” หนุนค้าปลีกไตรมาส 4/2563 หดตัวลดลงเหลือ 7.2% จากเดิมคาดติดลบถึง 8.9%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จากมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 กันยายน 2563 เห็นชอบให้มีการใช้มาตรการ “คนละครึ่ง” ที่จะเริ่มในเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2563 ซึ่งนอกจากจะกำหนดวงเงินคนละไม่เกิน 3,000 บาท (โดยรัฐจะจ่ายให้ 50% ของยอดใช้จ่าย ซึ่งไม่เกิน 3,000 บาท) เป็นจำนวน 10 ล้านคน แล้วนั้น ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้า

เช่น ชิมช้อปใช้ คือ มีการจำกัดวงเงินการใช้จ่ายต่อวัน ไม่เกินวันละ 150 บาท ส่งผลให้สินค้าที่เข้าข่าย หรือ ตอบโจทย์วงเงินดังกล่าวมีมูลค่าที่ไม่สูงนัก และเน้นไปที่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะของใช้ส่วนบุคคล อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (ไม่รวมล็อตเตอรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ และการบริการ)

คนละครึ่ง

นอกจากนี้ มาตรการฯ ดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โชห่วย แผงลอย เท่านั้น จึงน่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มดังกล่าว มีโอกาสสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 และ น่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ เช่น ผู้ผลิตสินค้า (Supplier) เกษตรกร รวมถึงการจ้างงานของธุรกิจต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของธุรกิจค้าปลีกได้ในระดับหนึ่ง

จากที่ก่อนหน้านี้ บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจเกี่ยวเนื่องต้องเผชิญกับปัจจัยกดดัน ทางด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ซบเซาต่อเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดมาตั้งแต่ต้นปี บวกกับกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่อง จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และการว่างงานที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังคงระบาดรุนแรงในต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า โอกาสในการเพิ่มยอดขายจากมาตรการฯ ดังกล่าว จะมากน้อยแค่ไหน ยังต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น จำนวนร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และ กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงเวลาเปิด-ปิดของร้านค้าปลีก ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

ทั้งนี้ จากการสำรวจการใช้จ่ายจากมาตรการ “คนละครึ่ง” ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (ในช่วงวันที่ 11-18 กันยายน 2563) พบว่า ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่น่าสนใจ ดังนี้

  • กว่า 64.0% ของผู้ตอบแบบสำรวจ วางแผนที่จะใช้จ่ายเต็มวงเงิน (3,000 บาท) และ ที่เหลืออีก 36.0% วางแผนที่จะใช้จ่ายบางส่วนหรือไม่ถึง 3,000 บาท โดยสินค้าที่ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ของใช้ส่วนบุคคล (แชมพู สบู่ ยาสีฟัน) อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
  • การใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่ม พบว่า ส่วนใหญ่กว่า 56.0% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ยังคงใช้จ่ายใกล้เคียงหรือไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เมื่อเทียบกับกรณี ที่ไม่มีมาตรการฯ เนื่องจากมีแผนที่จะใช้จ่ายอยู่แล้วในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ผลจากมาตรการฯ ถือเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคได้ เนื่องจากรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเอง 100% ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือไปใช้ในการทำกิจกรรมอย่างอื่น หรือเก็บออมไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นได้
  • ขณะที่ผู้บริโภคอีก 44.0% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มองว่า วางแผนจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไม่มีมาตรการฯ โดยอาจวางแผนเลื่อนวันในการซื้อสินค้าให้ตรงกับช่วงที่ออกมาตรการฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลจากมาตรการคนละครึ่ง น่าจะช่วยหนุนค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 ให้หดตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 7.2% จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัวถึง 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดังกล่าวจะกระจายไปยังร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional trade)

เช่น ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โชห่วย ร้านธงฟ้า ซึ่งร้านค้าเหล่านี้นอกจากการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว อาจจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของสต๊อกสินค้า ความสดใหม่และคุณภาพของสินค้า รวมถึงอาจจะอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งนี้ แรงส่งจากมาตรการฯ ดังกล่าว น่าจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกทั้งปี 2563 หดตัวประมาณ 6.0% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo