“วัฒนา อัศวเหม” ยื่นเอกสารขอรื้อ “คดีคลองด่าน” เพิ่ม ทนายเผยพร้อมกลับไทยสู้คดีใหม่ในวัย 85 ปี อ้างตอนนั้นหลบหนีเพราะอิทธิพล “ทักษิณ” เกรงไม่ได้รับความเป็นธรรม
วันนี้ (29 ก.ย. 63) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้นำเอกสารจำนวน 2 กล่องยื่นให้คณะทำงานของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม เพิ่มเติม เพื่อขอรื้อฟื้นคดีทุจริตคลองด่านและกลับมาสู้คดีใหม่
นายศรีสุวรรณ จรรยา ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายวัฒนา อัศวเหม กล่าวว่า วันนี้ตนได้นำเอกสารมายื่นเพิ่มเติมให้คณะทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากคณะทำงานฯ ขอให้ตนเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสำนวนคดีทุจริตคลองด่านของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและศาลแขวงดุสิต เพื่อขอรื้อฟื้นคดี
ภายหลังจากเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตนได้เคยมีหนังสือยื่นขอรื้อฟื้นคดีดังกล่าวมาแล้ว โดยคณะทำงานฯ จะนำเอกสารทั้งหมดไปตรวจสอบว่า คดีเข้าเงื่อนไขการขอรื้อฟื้นคดีหรือไม่ และมีพยานหลักฐานใหม่ที่เชื่อว่า สามารถหักล้างคดีเดิมได้ที่เคยไต่สวนกันมาแล้ว หรือมีพยานหลักฐานอื่น
ขณะนี้เรามีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร ที่เป็นคำร้องของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ยกคำร้องข้อกล่าวหาและพยานบุคคลซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินที่ไปเดินสำรวจรังวัดที่ดินดังกล่าว รวมถึงผู้ที่เคยร้องเรียน นายวัฒนา กับ ป.ป.ช. ซึ่งพร้อมที่จะให้การเป็นคุณต่อนายวัฒนา
หลักฐานที่มีในขณะนี้น่าจะเพียงพอต่อการขอรื้อฟื้นคดีได้สำหรับรายละเอียดในทางคดี หลังจากนายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณารับคำร้องขอการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งมีมติเห็นชอบให้รื้อคดีได้ ทางกระทรวงยุติธรรมจะเป็นผู้ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีต่อศาล ซึ่งทางทนายก็จะยื่นคำร้องขอร่วมรื้อฟื้นคดีด้วย โดยรายละเอียดทั้งหมดจะไปว่ากันในชั้นศาล
“การพิจารณาขอรื้อฟื้นคดีตามระเบียบของกระทรวงยุติธรรมได้กำหนดระยะเวลาไว้ 60 วัน หากคณะกรรมการฯ มีมติให้รื้อฟื้นคดีนายวัฒนา ก็จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อมารายงานตัวต่อศาลและขอประกันตัวสู้คดี” นายศรีสุวรรณกล่าว
นอกจากนี้ นายวัฒนา จะขอให้คณะกรรมการฯ พิจารณากรณีการหนีหมายจับของศาล โดยอ้างเหตุที่หลบหนีหมายศาลในช่วงนั้นว่า ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เนื่องจากเป็นช่วงที่นายทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจทางการเมือง และต้องการให้ควบรวมพรรคราษฎรของนายวัฒนา เข้ามารวมกับพรรคไทยรักไทยในขณะนั้น ซึ่งนายวัฒนาไม่ยอมจึงถือเป็นเหตุทางการเมืองด้วย ดังนั้น นายวัฒนาเห็นว่าหากยังอยู่ในประเทศไทย จะไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจหนีออกไป
ขณะเดียวกัน ได้ทราบจากญาติและครอบครัวว่า ปัจจุบันนายวัฒนามีสุขภาพแข็งแรง แต่คิดถึงบ้านเนื่องจากเดินทางไปมาระหว่างฮ่องกงและกัมพูชา ส่วนตัวตนได้โทรหารือข้อกฎหมายกับนายวัฒนา แต่ยังไม่เคยได้พบตัว ที่ผ่านมาก็ได้คุยกับนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม
“วัฒนา อัศวเหม” กับคดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
สำหรับคดีดังกล่าว นายวัฒนา ได้ถูก ป.ป.ช. ตัดสินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ซึ่งถือเป็นโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ที่มีศักยภาพในการบำบัดน้ำเสียมากที่สุดในเอเชียในขณะนั้น
นายวัฒนา ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นถูกกล่าวหาว่า ได้ทำการกว้านซื้อดินจากชาวบ้านในราคาถูกและได้ออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบรุกล้ำที่ดินสาธารณะประโยชน์ แล้วนำไปขายต่อให้รัฐโดยปั่นราคาขึ้นจาก 1 แสนบาทต่อไร่ เป็น 1.1 ล้านบาทต่อไร่ รวมกว่า 1,903 ไร่
หลังจากนั้นในวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 ศาลนัดฟังคำพิพากษา แต่ นายวัฒนา กลับไม่ได้เดินทางมา จนต่อมามีข่าวว่านายวัฒนาได้เดินทางหนีออกจากประเทศผ่านประเทศกัมพูชา ปัจจุบันนายวัฒนา อยู่ระหว่างการหลบหนีหมายจับตามคำพิพากษาจำคุก ในคดีทุจริตต่อหน้าที่ราชการศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และให้ริบพระผงสุพรรณเลี่ยมทองของกลาง พร้อมกับออกหมายจับเพื่อติดตามตัวจำเลย มารับโทษ และปรับเงินนายประกัน 2 ล้าน 2 แสนบาทถ้วน
ต่อมานายวัฒนา ได้ยื่นขออุทธรณ์คดีดังกล่าว แต่ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา จนกระทั่งวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ศาลแขวงดุสิตนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาโดยมีคำสั่งให้ออกหมายจับ
แต่ล่าสุดเมื่อกลางปี 2563 ที่ผ่านมานาย วัฒนา อัศวเหม ซึ่งขณะนี้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศในคดีทุจริตคลองด่าน ได้ส่งหนังสือ “เปิดหัวใจ ลูกผู้ชายที่ชื่อวัฒนา อัศวเหม” ถึงสื่อมวลชน มีเนื้อหาหาชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงการจัดซื้อที่ดิน อำเภอคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่รวม 1,900 ไร่ มูลค่า 1,900 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และแจ้งว่าต้องการกลับมาสู้คดี
“ในวันนี้ผมมีอายุ 85 ปีเศษแล้ว ไม่อยากจากโลกนี้ไป และยังคงทิ้งตราบาปไว้ให้กับลูกหลาน และวงศ์ตระกูล ดังนั้น เมื่อปัจจุบันมีข้อมูลใหม่ๆ เปิดเผยออกมามากมาย ไม่เหมือนในช่วงที่มีการสอบสวน และตัดสินคดีผม ซึ่งข้อมูลต่างๆ ถูกปิดบังถูกบิดเบือน ถูกชี้นำจากอำนาจการเมือง ทำให้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง ทำให้ผมถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ผมจึงอยากขอโอกาสกลับไปแสดงความบริสุทธิ์ ขอให้ผมได้ประกันตัวผมจะกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง เอาข้อมูลข้อเท็จจริงมาว่ากัน ถ้าผมผิด ผมพร้อมให้ถูกดำเนินคดี ผมจะไม่หนีอีกต่อไป”
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ศาลปกครอง’ สั่ง ‘3 บิ๊กขรก.’ ชดใช้กว่าหมื่นล้าน ‘คดีคลองด่าน’
- ‘วัฒนา อัศวเหม’ ส่งหนังสือขอกลับไทย สู้ ‘คดีคลองด่าน’
- 1 เดือนชัด! ยึดโมเดล ‘คลองด่าน’ หาแนวทางจ่ายค่าโง่โฮปเวลล์