Travel

แปลกตา ประหลาดใจ ใน ‘อินเดีย’

“เฮ้ย จริงหรอ” เป็นประโยคที่เพื่อนร่วมทริป และตัวผมเผลอพูดออกมาหลายครั้ง ระหว่างที่เราเดินทางไปท่องเที่ยวที่อินเดียเป็นครั้งแรก หลายสิ่งที่เราเจอช่างแปลกตา ชวนให้อึ้ง ทึ่ง เสียว สมกับแคมเปญการท่องเที่ยว “Incredible India” จริงๆ

ผมจึงรวบรวมเรื่องราว “เฮ้ย จริงหรอ” ในอินเดียมาฝากกัน

มโหรีปี่แตร(รถ)บรรเลงตลอดสาย

เรื่องแรก ปี๊น ปี๊น ปี๊น! ใช่แล้วครับ เสียงแตรบนท้องถนนที่อินเดีย เสียงดังยิงยาวราวกับไม่มีใครยอมใคร เจอแบบนี้อึ้งสิครับ

ตอนแรกคิดว่าพวกเขาทะเลาะกันรึเปล่า แต่เมื่อลองสอบถามคนขับรถเจ้าถิ่นที่ก็ได้ความว่า จริงแล้วๆพวกเขาบีบแตรเพื่อบอกผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนว่า “เราอยู่ตรงนี้นะ ระวังหน่อย”  หรือหลายครั้งก็ใช้เสียงแตรแทนการทักทายกัน หาใช่ชวนทะเลาะหรือใส่อารมณ์ไม่

ฟังแบบนี้แล้วก็ถึงบางอ้อว่าการบีบแตรตลอดเวลาเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา นี่คือเสน่ห์บนท้องถนนในแดนภารตะ พอเราเดินทางบนท้องถนนหลายวันก็เริ่มชินกับเสียงมโหรีปี่แตร(รถ)เหล่านี้เสียแล้วจ้ะนายจ๋า

ถนนนี้มีไว้สำหรับทุกคน ทุกคัน ทุกตัว

เรื่องต่อมาก็ยังอยู่บนท้องถนนครับ ถนนที่นี่ไม่ได้มีไว้สำหรับคน และรถเท่านั้น แต่เผื่อแผ่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะ วัว!

ภาพที่คุ้นตาของคนอินเดียคือ วัวเดินเฉิดฉายอยู่กลางถนน บ้างก็นอน บ้างก็เดินข้ามถนนไปมา จนรถที่ขับบนถนน ในตรอก ซอก ซอย ต้องคอยหลีกทางหรือไม่ก็บีบแตรเพื่อขอให้พี่พ้องน้องวัวให้ทางหน่อย

ที่เป็นเช่นนี้เพราะวัวเป็นสัตว์ในคัมภีร์ฮินดูโบราณ ชาวฮินดูเชื่อว่าเทพเจ้าทั้งหลายอาศัยอยู่ในร่างกายของวัว ดังนั้นเราจึงเห็นผู้คนนำอาหารมาให้วัวกินเป็นประจำ

นอกจากนี้เวลาออกไปนอกเมืองยังเห็นสัตว์อื่นๆอย่างช้าง ม้า อูฐเดินไปมาตามท้องถนนอีกด้วย

image1

ส่ายหัวไปมาตกลงแบบไหน “ใช่” แบบไหน “ไม่”

คนอินเดียร่ำรวยด้วยภาษากายครับ หากได้มีโอกาสคุยกับพวกเขา คงสังเกตได้ถึงการใช้มือไม้และส่วยหัวขณะพูดคุย จนหลายครั้งอาจจะงงว่า ตกลงที่เขาส่ายหัวแบบไหนคือ ‘ใช่’ แบบไหนคือ ‘ไม่’

ผมเลยถือโอกาสถามคนอินเดียให้ชัดแล้วอัดคลิปมาฝากกัน กดคลิกเพื่อรับชม เคลียร์กันให้ชัดไปพร้อมกันได้เลยครับ

สถาปัตยกรรมอลังการ เดินถ่ายรูปเพลินเดินได้ทั้งวัน

การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้ จุดหมายหลักของผมคือ ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรักอันโด่งดังตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ผมเคยเห็นภาพสุสานหินอ่อนสีขาวตั้งแต่เด็ก และอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

เราเดินทางถึงอินเดียช่วงเวลาสายๆ ของวันพฤหัสบดี วางแผนที่จะตื่นเช้าตรู่เพื่อไปถ่ายรูปทัชมาฮาลก่อนใครในวันรุ่งขึ้น (อยากได้รุปที่ไม่มีคนเยอะ) แต่มารู้ตัวว่าต้องรีบเปลียนแผนตอนคุยกับคนขับรถ เพราะทัชมาฮาลปิดทุกวันศุกร์!

ดังนั้นเราจึงต้องรีบบึ่งหน้าตั้งจากสนามบินอินทิรา คานธี นิวเดลี ไปยังเมืองอัคราใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่งถึงทัชมาฮาลยามเย็น เมื่อเราเดินทะลุประตูบานใหญ่ (สูงเท่ากับตึก 3 ชั้น) ทัชมาฮาลสีขาวสง่าก็ปรากฏอยู่ด้านหน้า

ผมถึงกับทึ่งกับความยิ่งใหญ่และโดดเด่นของสถาปัตยกรรมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ผมยืนนิ่งไปสามวินาทีแต่แล้วก็หลุดจากภวังค์เมื่อผู้คนมากมายด้านหลังดันผมให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า

ใช่ครับ คนเยอะมากกถึงมากที่สุด ผมพยายามเก็บภาพตัวเองกับทัชมาฮาลเท่าที่จะทำได้ พลางคิดในใจว่า “ถ้าคนน้อยก็คงจะดี เราจะได้ไปยืนถ่ายตรงกลางให้เห็นความสมมาตรอลังการ”

image5

ช่วงที่เราเดินเข้าไปชมความงามของสถาปัตยกรรมที่มีอายุเกือบ 400 ปี ทางด้านใน ฝนก็ตกลงมา ผู้คนต่างทยอยเข้ามาหลบฝนด้านใน

ผมปรึกษาไกด์ว่าคิดว่าฝนจะตกนานไหม ไกด์หนุ่มเจ้าถิ่นส่ายหัวแล้วบอกว่า ไม่แน่นอน อย่างสัปดาห์ที่แล้วฝนตกสี่วันสี่คืนไม่หยุดเลย ฟังแบบนี้ผมจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนออกมาเพื่อไปขึ้นรถ

แต่ระหว่างทางไร้ผู้คน ผมจึงได้โอกาสถ่ายรูปกับทัชมาฮาลสมใจท่ามกลางสายฝน งานนี้ต้องขอขอบคุณน้องฝนจริงๆครับ

image6

นอกจากทัชมาฮาลแล้ว ที่อินเดียยังมีสถาปัตยกรรม และสิ่งปลูกสร้างยิ่งใหญ่อลังการ ควรค่าแก่การข้ามน้ำข้ามทะเลไปชมเยอะมาก หลายที่ทำให้เราทึ่งในภูมิปัญญาของคนในสมัยหลายร้อยหลายพันปีก่อน ที่สามารถเนรมิตผลงานอลังการที่วิจิตรสวยงาม และมีประโยชน์ต่อชุมชนด้วย อย่าง Panna Meena Ka Kund Stepwells บ่อน้ำโบราณแบบขั้นบันไดในเมืองชัยปุระ สร้างขึ้นในศตวรรษที่16 เพื่อกักเก็บน้ำ บันไดที่ออกแบบเป็นแนวทแยงแปดชั้นช่วยให้ประชาชนจำนวนมากลงไปในบ่อได้ในเวลาพร้อมๆกัน

image2

Hawa Mahal Palace of the Winds พระราชวังแห่งสายลมในเมืองชัยปุระ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2342 อาคารหน้าบันห้าชั้นถอดแบบมาจากมงกุฎพระนารายณ์ หน้าต่าง953บานถูกฉลุเป็นช่องเล็กๆ ทำให้พระสนมของกษัตริย์ที่อยู่ด้านในมองออกมาข้างนอกโดยที่คนด้านนอกมองเข้าไปข้างในไม่ได้ แถมยังเป็นช่องแสงและช่องลมด้วย

image3

การแสดงริมถนนสุดหวาดเสียว

อึ้ง ทึ่งกันไปแล้ว มาเสียวกันบ้างครับ จำได้ว่าสมัยเด็กๆ ผมเคยดูการ์ตูน มีหมองูอินเดียเป่าปี่แล้วมีงูออกมาเต้น และแล้วเราก็เจอจริงๆ

ผมไม่รอช้ารีบเข้าไปจับจองที่นั่งชมการแสดงริมถนน พอหมองูหนุ่มเริ่มเป่าปี่เท่านั้นละครับ เจ้างูตัวยาวก็ค่อยๆ ชูคอแผ่แม่เบี้ยอวดโฉมให้เราถ่ายภาพรัวๆ

หมองูคงเห็นแววตาอันเป็นประกายของผม จึงเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ จากนั้นเขาก็ยกตะกร้างูขึ้นมาส่งให้ในมือผม โอ้ยยย หวาดเสียวสิครับเพราะเจ้างูหันหน้ามาหาผมราวกับอยากจะทักทาย  “นมัสเต”

ด้วยความเกรงใจผมจึงรีบส่งคืนเจ้าของไป หลังจากการแสดงเสร็จสิ้นหมองูก็ให้เราจ่ายค่าชมให้ในราคา 50 รูปี หรือราว 25 บาท พวกผมจึงรีบควักเงินให้โดยดี (กลัวว่าถ้าเบี้ยวหมองูอาจจะเป่าปี่ให้งูมาทวงเงินได้)

image4

เที่ยวไปในอินเดียครั้งนี้เปลี่ยนความคิดว่าอินเดียน่ากลัว แถมความแปลกใหม่ที่ได้รับระหว่างการเดินทางยังสร้างความประทับใจ ให้อยากไปเที่ยวอีกครั้งเลยครับ

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

Avatar photo
ผู้ประกาศข่าว นักเดินทาง นักฝัน