World News

สหรัฐรับอาสาสมัคร 6 หมื่นคน ทดลอง ‘วัคซีนโควิด-19’ เครือ Johnson&Johnson

สหรัฐ รับอาสาสมัครผู้ใหญ่ 6 หมื่นคน ทดลอง “วัคซีนโควิด-19” เครือ Johnson & Johnson โดยนับเป็นการทดลองระยะ 3 ขนานใหญ่รอบที่ 4 ชูจุดเด่นเป็นวัคซีนที่ใช้แค่โดสเดียว

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIH) ประกาศว่า การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ครั้งที่ 4 เพื่อประเมินวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา ได้เริ่มเปิดลงทะเบียนรับอาสาสมัครวัยผู้ใหญ่แล้ว

สหรัฐ วัคซีนโควิด-19

สถาบันสุขภาพฯ ระบุในเอกสารแถลงว่า การทดลองนี้ออกแบบมาเพื่อประเมิน “วัคซีนแจนส์เซนโควิด-19 (Janssen COVID-19) JNJ-78436725” ที่อยู่ระหว่างการวิจัย ว่าสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ที่แสดงอาการได้หรือไม่ หลังจากผู้ร่วมทดลองได้รับวัคซีนชนิดโดสเดียว (Single dose)

การทดลอง วัคซีนโควิด-19 ครั้งนี้เปิดลงทะเบียนรับอาสาสมัครมากถึง 60,000 คน ผ่านหน่วยวิจัยทางคลินิกมากถึงเกือบ 215 แห่งใน สหรัฐ และระดับนานาชาติ

บริษัท แจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล คอมพานีส์ (Janssen Pharmaceutical Companies) ของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ได้พัฒนาวัคซีนที่กำลังวิจัยอยู่นี้และเป็นผู้นำในการทดลองทางคลินิกในฐานะผู้สนับสนุนที่มีอำนาจกำกับดูแล

สหรัฐ อเมริกา โควิด-19

การทดลองครั้งนี้ เป็นการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ขนาดใหญ่ครั้งที่ 4 เพื่อทดสอบวัคซีน โควิด-19 ใน สหรัฐ ขณะที่อีก 3 การทดลอง ได้แก่

  • การทดลองวัคซีนทดลองเอแซดดี1222 (AZD1222) ซึ่งร่วมคิดค้นโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทวัคซีเทค (Vaccitech) บริษัทลูกของมหาวิทยาลัย
  • การทดลองวัคซีนทดลองเอ็มอาร์เอ็นเอ-1273 (mRNA-1273) ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ (NIAID) ร่วมกับโมเดอร์นา บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสัญชาติสหรัฐ
  • การทดลองวัคซีนทดลองบีเอ็นที162บี2 (BNT162b2) ซึ่งพัฒนาโดยไฟเซอร์ (Pfizer) บริษัทชีวเภสัชกรรมของสหรัฐ และบริษัทเยอรมันอย่างไบโอเอ็นเทค (BioNTech)

ขณะที่วัคซีนทดลองรายการอื่นต้องใช้ 2 โดส แต่วัคซีนแจนส์เซนนั้นอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อให้เป็นวัคซีนชนิดใช้โดสเดียว วัคซีน โควิด-19 รายการนี้เป็นวัคซีนรีคอมบิแนนต์เวกเตอร์ (recombinant vector vaccine) ซึ่งจะใช้อะดิโนไวรัส (adenovirus) ของมนุษย์ในการขัดขวางสไปก์โปรตีนหรือโปรตีนหนาม (spike protein) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเซลล์

ผลการวิจัยการทดลองก่อนการทดสอบในมนุษย์ที่ตีพิมพ์ลงในวารสารเนเจอร์ (Nature) ชี้ว่า วัคซีนแจนส์เซนเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนองของแอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ (neutralizing antibody) ในลิงแสม และสร้างการป้องกันที่สมบูรณ์หรือเกือบสมบูรณ์ต่อการติดเชื้อในปอดและโพรงจมูกได้ หลังทำการทดลองกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

สถาบันสุขภาพฯ ระบุว่า การทดลองนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจสอบว่าวัคซีน โควิด-19 ที่อยู่ระหว่างการวิจัยรายการนี้สามารถป้องกันโรคโควิด-19 ในระดับปานกลางถึงรุนแรงได้หรือไม่ หลังจากมีการให้วัคซีนเพียงโดสเดียว นอกจากนั้นยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจว่าวัคซีนสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ที่ต้องมีการรักษาแบบแทรกแซงทางการแพทย์ (medical intervention) ได้หรือไม่ รวมถึงวัคซีนสามารถป้องกันการป่วย โควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง และการติดเชื้อไวรัสโดยไม่แสดงอาการได้หรือไม่

ด้านคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและความปลอดภัยอิสระจะดำเนินการกำกับดูแล เพื่อให้การดำเนินการศึกษาเป็นไปด้วยความปลอดภัยและถูกต้องตามหลักจริยธรรม

“วัคซีนทดลองสำหรับป้องกันโรคโควิด-19 ทั้ง 4 รายการ เข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 ในสหรัฐภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน หลังสามารถระบุตัวตนของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ นี่คือความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์สำหรับประชาคมวิทยาศาสตร์ ที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวัคซีนและแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่สอดประสานกันระหว่างภาครัฐ อุตสาหกรรม และวิชาการ ตลอดหลายทศวรรษ” แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้ฯ ระบุ

“มีแนวโน้มว่าเราจะต้องมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 หลายรายการ เพื่อตอบสนองความต้องการทั่วโลก ส่วนวัคซีนแจนส์เซนมีผลการทดสอบระยะต้นที่ส่งสัญญาณดีและอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการควบคุมโรคระบาด หากพิสูจน์ได้ว่าสามารถป้องกันโรคได้หลังได้รับเพียงโดสเดียว” เฟาซีทิ้งท้าย

บุคคลทรงอิทธิพล นิตยสารไทม์ ปี 2563

นพ.แอนโทนี ฟอชี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐ เป็นหนึ่งในคณะทำงานพิเศษรับมือวิกฤติไวรัสโควิด-19 ประจำทำเนียบขาว ติดโผหนึ่งใน 100 ของโลก  ร่วมกับ “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “สี จิ้นผิง” จากการจัดอันดับ บุคคลทรงอิทธิพลประจำปี 2563 ของนิตยสารไทม์ 

จิมมี คิมเมล พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง เป็นผู้ที่ไทม์ เลือกให้มาเขียนถึง นพ.แอนโทนี ฟอชี โดยเขาแสดงความชื่นชมต่อผู้เชี่ยวชาญทางโรคติดเชื้อรายนี้ และบอกว่า นพ.แอนโทนี ฟอชี เป็นคนตรงไปตรงมา ยอมพูดความจริงที่อาจไม่น่าฟังนัก ไม่ยอมถูกนักการเมืองกดดันเพื่อรักษาชีวิตของผู้ติดเชื้้อ

ที่ผ่านมา นพ.แอนโทนี ฟอชี มักขัดแย้งกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ในเรื่องการรับมือ และการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ เกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ซึ่งล่าสุด เขากล่าวว่า สหรัฐจะกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนมีโรคระบาดในปีหน้า หรืออาจจะถึงปลายปีหน้า และโรคระบาดอาจกลับมารุนแรงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ซึ่งสวนทางกับท่าทีของทรัมป์ ที่ระบุว่า สหรัฐจะกลับสู่ภาวะปกติในเร็ววัน

ที่มาสำนักข่าวซินหัว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo