CEO INSIGHT

ซีอีโอ ‘ฮาบิแทท’ นักพัฒนาอสังหาฯฝั่งดีมานด์

ดีเวลอปเปอร์ หรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่มักจะมาจากผู้ประกอบการ ที่เริ่มต้นด้วยธุรกิจพัฒนาที่ดิน บ้างมาจากผู้รับเหมาก่อสร้าง บ้างมาจากสถาปนิกผู้ออกแบบ และจำนวนไม่น้อยมาจากนักค้าขายที่ดิน

ต่างจาก ซีอีโอ “ฮาบิแทท กรุ๊ป”  ที่จุดเริ่มต้นของเขา มาจากการเป็น  “นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์” คือเป็นลูกค้าผู้ซื้ออสังหาฯ แบบนักลงทุน ซื้อมา-ขายไปจากเงินทุนเริ่มแรก 2 แสนบาท

ชนินทร์ วานิชวงศ์2
นายชนินทร์ วานิชวงศ์

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮาบิแทท กรุ๊ป กล่าวว่า ฮาบิแทท กรุ๊ป เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ เพื่อการลงทุนเป็นหลัก โดยพัฒนาโครงการขึ้นมา และนำเสนอสู่ตลาดด้วยจุดขายเพื่อการลงทุนสร้างผลตอบแทน พร้อมรับประกันผลตอบแทน ไม่น้อยกว่า 5-6% ต่อปี ยาวต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 ปี และมีโปรแกรมแบ่งผลตอบแทนการลงทุน ตลอดระยะเวลาที่ถือครองอสังหาฯนั้นๆ

ด้วยจุดเริ่มต้นที่มาจากการเป็น  “นักลงทุน” คือเป็นคนซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุน ได้กำไรจากแคปปิตอลเกณฑ์ ก็ขายออกไป

เริ่มต้นจากการซื้อคอนโดย่านสุขุมวิท 1 ยูนิต ขนาด 76 ตารางเมตร ราคาตอนที่ซื้อคือ 5 หมื่นบาท/ตารางเมตร เริ่มลงทุนครั้งแรกใช้เงิน 2 แสนบาท ราคาคอนโดโดยรวมประมาณ 4 ล้านบาท อยู่ไป 5-6 เดือนราคาปรับขึ้นไปเป็น 9 หมื่นบาท/ตารางเมตร ก็ขายออกไปได้กำไร ก็ไปซื้อโครงการใหม่ลงทุน และขายทำกำไรมาเรื่อยๆ

ตั้งแต่ปี 2546 – 2553 เขาซื้อคอนโดเข้ามาและขายออกไป รวม 80 ยูนิต เป็นการลงทุนที่เจ้าตัวบอกว่าสนุกมาก ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ห้องชุดทำเลดี ในราคาเปิดตัววันแรก ถึงขั้นไปจองโรงแรมนอน เพื่อลงมาจองซื้อเป็นคนแรกในเวลาเช้ามืดคือ 4.00 น. ก็ทำมาแล้ว

แต่ช่วงนั้นตลาดเป็นของนักลงทุน คนจองซื้อคอนโดเยอะมาก แม้กระทั่งลงมาตีสี่คิดว่าเป็นคนแรก แต่พบว่ามีคนมาเข้าคิวเต็มห้องแล้ว

“ผมลงทุนคอนโดสุขุมวิท ตั้งแต่ตารางเมตรละ 50,000 บาท จนขึ้นมา 2-3 แสนบาทในปัจจุบัน” ซีอีโอฮาบิแททย้ำ และว่าประสบการณ์จากการเป็นผู้ซื้อ หรือจากฝั่งดีมานด์  ทำให้รู้ว่าอสังหาฯแบบไหนเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะทำเลทองอย่างสุขุมวิท ต้องเป็นสินค้าแบบไหนทำเลอย่างไรจึงจะขายได้ เพราะอยู่ฝั่งผู้ซื้อมาโดยตลอด

เมื่อลงทุนมากขึ้น ก็ต้องทำตารางการลงทุนรายพร็อพเพอร์ตี้ เริ่มเป็นพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ จากนั้นก็หันมาลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ขึ้นมาเอง เพื่อขายให้กับนักลงทุน คิดที่จะพัฒนาโครงการขึ้นมาตอบรับความต้องการซื้อของนักลงทุน เริ่มมองหาทำเล และพบว่าทำเลในกรุงเทพฯ ย่านสุขุมวิทราคาสูงเกินไป จึงมองหาทำเลอื่นที่น่าสนใจ

S 57155600
บรรยากาศตกแต่งภายในโครงการ โอเชี่ยนเฟียร์

รุกพัฒนาที่ดินทำเลแรก “พัทยา”

ในที่สุดมาเริ่มต้นที่พัทยา เพราะมองว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว มีความต้องการซื้ออยู่ตลอด

เริ่มทำโครงการแรก “เดอะ วิลล์ จอมเทียน” ในปี 2556 เป็นการซื้อโครงการจัดสรรที่สร้างไปแล้ว 20% มาพัฒนาต่อเป็นพูลวิลล่า ขายในราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท/ยูนิต เป็นวิลล่าแบบ 3-4 ห้องนอน ขายเป็นยูนิตตามปกติ

จากนั้นก็นำมาบริหารแบบโรงแรม เปิดให้เช่าเป็นรายวัน ซึ่งพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยว ความต้องการบ้านพักตากอากาศมีตลอดเวลา ขายห้องพักได้ตลอด

อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยของพัทยาอยู่ที่ 79% โครงการนี้ได้ราคาห้องพักคืนละ 7,000 – 10,000 บาทตามขนาดห้อง และฤดูการท่องเที่ยว เท่ากับได้ผลตอบแทน 6-8% ทาง ฮาบิแทท กรุ๊ปจึงเปิดขายอสังหาฯ เพื่อการลงทุน โดยรับประกันผลตอบแทนรายได้ต่อปีที่ 6% เป็นเวลา 5 ปี

หลังจากโครงการนี้ ก็ขยายการพัฒนาอสังหาฯ พัทยา ต่อเนื่องถึง 6 โครงการ

  • เดอะ วิลล์ จอมเทียน พัฒนาบนพื้นที่ดิน 32 ไร่ เป็นพูลวิลล่า ขายราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาทขึ้นไป บริหารห้องพักให้เช่าโดย ฮาบิแทท กรุ๊ป
  • พัทยา ซีเฟียร์ เปิดบริการเป็นโรงแรม X2 Cross To  VIBE พัทยา เป็นการพัฒนาที่ดิน 296 ตารางวา ขึ้นเป็นคอนโด 8 ชั้นจำนวน 65 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 35-54 ตารางเมตร ขายราคา 3 -7.5 ล้านบาท โดยโครงการนี้ขายเป็นคอนโด มีผู้ซื้อถือกรรมสิทธิ์ร่วมแต่จดทะเบียนเป็นโรงแรม บริหารโดยเชนโรงแรมบูธีค จากออสเตรเลีย แบรนด์ X2 Cross To
  • โอเชี่ยนเฟียร์ พัฒนาที่ดิน ย่านนาจอมเทียน ขึ้นเป็นพูลวิลล่า จำนวน 59 ยูนิต แบบ 1 – 2 ห้องนอน ขายราคา 9.79 – 15.5 ล้านบาท โครงการนี้ใช้แบรนด์ X2 Cross To Resort เข้ามาบริหาร เป็นรีสอร์ทแบบพูลวิลล่า
  • เบย์เฟียร์ ที่ดิน 1 ไร่เศษ พัฒนาเป็นคอนโด 174 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 30-33 ตารางเมตร ขายราคา 3.3-5.5 ล้านบาท ใช้เชนเบสท์เวสเทิร์น เข้ามาบริหารโดยใช้แบรนด์ BWP Premier
  • บลูเฟียร์ พัฒนาที่ดิน 397 ตารางวาขึ้นเป็นคอนโด 8 ชั้น จำนวน 195 ยูนิต ขนาด 1 ห้องนอน 22-26 ตารางเมตร ขายในราคา 2.7-3.7 ล้านบาท บริหารโดยเชนเบสท์เวสเทิร์น แบรนด์ BW Premier Collection
  • Atlas Wongamat Pattaya  พัฒนาที่ดิน 1 ไร่เศษบนทำเลวงศ์อมาตย์ ซอยนาเกลือ 22 ขึ้นเป็นอาคารชุด 8 ชั้น จำนวน 192 ยูนิต ขนาด 1 ห้องนอน 25-57 ตารางเมตร ขายราคา 3.8-9 ล้านบาท โครงการนี้จะใช้เชนโรงแรมจากสหรัฐเข้ามาบริหาร ในแบรนด์ WYNDHAM Atlas Wongamat Pattaya

ทุกโครงการที่เปิดขายล้วนเป็นอาคารชุด ที่จดทะเบียนเป็นโรงแรม ซึ่งสามารถปล่อยเช่าแบบรายวันได้ เป็นการขายคอนโดแบบตกแต่งครบเบ็ดเสร็จ พร้อมเปิดบริการเป็นโรงแรม ผู้ซื้อไม่ต้องเสียค่าตกแต่งเพิ่มเติม มีสิทธิ์จองเข้าพักได้ 15 วันภายใน 1 ปี ที่เหลือจะนำออกบริการเป็นโรงแรม รับประกันผลตอบแทน 6% นาน 5 ปี

หลังจากนั้นตกลงแบ่งผลตอบแทนในสัดส่วน 60:40 ระหว่างเจ้าของกับฮาบิแทท ตลอดอายุการถือครองอสังหาฯ ซึ่งสามารถขายเปลี่ยนมือได้ตามปกติ แต่ผู้ซื้อใหม่ต้องเข้าสัญญานำอสังหาฯ นั้นๆ มาให้เช่าเป็นโรงแรมกับฮาบิแทท กรุ๊ป

walden อโศก
โครงการ วาลเด้น อโศก

บุกสุขุมวิทซื้อบ้านเก่าพัฒนาเป็นคอนโด

หลังจากพัฒนาที่พัทยามา  6 โครงการ ในปี 2559 ฮาบิแทท กรุ๊ป ก็เริ่มกลับเข้ามาพัฒนาอสังหาในกรุงเทพฯ โดยเลือกทำเลสุขุมวิท ด้วยการมองหาบ้านเก่า หรือที่ดินแปลงขนาดไม่ใหญ่มาก นำมาพัฒนาคอนโด เพื่อขายด้วยข้อเสนอการลงทุนและมีการรับประกันผลตอบแทนเช่นเดียวกัน

โครงการที่เปิดไปแล้ว ได้แก่ โครงการ วาลเด้น อโศก พัฒนาที่ดิน 220 ตารางวา ขึ้นเป็นอาคารชุดโลว์ไรส์ ขนาด 1-2 ห้องนอน 31.1-65.4 ตารางเมตร ขายในราคา 5.9-11 ล้านบาท

โครงการในแบรนด์ วาลเด้น พัฒนา 3 ทำเล ประกอบด้วย วาลเด้น อโศก วาลเด้น สุขุมวิท 39 และวาลเด้น สุขุมวิท 31 ซึ่งจะเปิดตัวช่วงปลายปี ยังคงเปิดขายในคอนเซ็ปต์เดิม คือซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุน แต่ทำเลในกรุงเทพฯ อาจไม่เหมาะสำหรับการปล่อยเช่ารายวัน

ดังนั้น คอนเซ็ปต์การเสนอขายโครงการวาลเด้น ในกรุงเทพฯ จึงยังคงเป็นการซื้อเพื่อลงทุน แต่รูปแบบให้เช่าอาจเปลี่ยนเป็นให้เช่ารายเดือน ซึ่งอัตราค่าเช่าของทำเลสุขุมวิทช่วงซอยดังกล่าว ได้ราคาเช่าสูงสุดที่ 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งตลาดส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความต้องการจำนวนมาก

ฮาบิแทท พัฒนาโครงการจากการประเมินความต้องการซื้อ ก่อนมาคิดหาที่ดินเพื่อขึ้นโครงการ

นอกจากนี้ ยังมีที่ดินแปลงเล็กที่ซอยร่วมฤดี ขนาด 117 ตารางวา นำมาพัฒนาเป็นลักซ์ชัวรี่เฮ้าส์ แบรนด์ LEROY ร่วมฤดี เป็นบ้านแฝด 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 1,060 ตารางเมตร ขายในราคา 125 ล้านบาท ยังไม่เปิดตัว แต่ขายหมดแล้ว จำนวน 2 ยูนิต

จากแผนงานทั้งหมดนี้ ทำให้ผลประกอบการของฮาบิแทท ในปี 2559 มียอดขาย 600 ล้านบาท ในปี 2560 ยอดขาย 1.3 พันล้านบาท และในปี 2561 คาดว่าจะทำได้ 3 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า

 

Avatar photo