Economics

ลุ้น! แจกเงิน 3000 บาทเข้าครม.วันนี้ เช็คเงื่อนไขที่นี่ก่อนลงทะเบียน 16 ต.ค.

แจกเงิน 3000 บาท มาแน่! “กระทรวงการคลัง” จ่อชงมาตรการ “คนละครึ่ง” เข้าครม.วันนี้ เช็คเงื่อนไขที่นี่ ก่อนเปิดลงทะเบียนจริง 16 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. ผ่าน WWW.คนละครึ่ง.com

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 กันยายนนี้ สศค. จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ประกอบด้วย โครงการคนละครึ่ง แจกเงิน 3000 บาท ให้ประชาชนทั่วไป 10 ล้านคน และโครงการเพิ่มวงเงินซื้อของกินของใช้ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ จำนวน 14 ล้านคน จาก 200 – 300 บาท เป็นคนละ 700-800 บาท หรือเพิ่มให้ 500 บาทต่อคน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2563 หรือคนละ 1,500 บาทต่อคน

ทั้งนี้ มาตรการที่จะเสนอ ครม. พิจารณานั้น จะใช้วงเงินดำเนินการ 5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคของประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปีให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และเป็นการช่วยเหลือคนให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นถึง 24 ล้านคน

แจกเงิน 3000

โดยรัฐบาลจะเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ซึ่งจะต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย เน้นร้านของกินหรือซื้อของใช้นิดหน่อยตามโชห่วยหรือร้านธงฟ้า ส่วนร้านค้าขนาดใหญ่ที่เป็นนิติบุคคล ร้านสะดวกซื้อ รัฐไม่เปิดให้เข้าร่วมโครงการ และในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 06.00-23.00 น. จะเปิดให้ประชาชน ที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จองสิทธิผ่าน WWW.คนละครึ่ง.com โดยระบบจะเปิดรับต่อเนื่อง 10 ล้านคน หากวันแรกไม่เต็มก็จะเปิดรับวันต่อ ๆ ไปจนเต็มตามจำนวน

ทั้งนี้ หลังลงทะเบียนแล้วภายใน 2 วัน ผู้ลงทะเบียนจะได้รับข้อความ SMS แจ้งว่าผ่านการพิจารณาหรือไม่ ผู้ที่ผ่านก็ให้โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งรัฐบาลจะโอนวงเงิน 3,000 บาท ให้กับผู้ได้สิทธิ เพื่อนำไปซื้อของกินของใช้จากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งร้านค้าจะมีแอปพลิเคชันถุงเงิน โดยผู้ได้สิทธิก็ต้องโอนเงินส่วนที่จะซื้อของเข้าแอปพลิเคชันเป๋าตังของตัวเองด้วย เพราะมาตรการนี้เป็นการร่วมจ่ายกันคนละครึ่ง

สำหรับผู้ได้สิทธิเริ่มใช้จ่ายในโครงการได้ในวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 23.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยรัฐบาลกำหนดช่วยจ่ายค่าซื้อสินค้าวันละไม่เกิน 100 บาท หรือ ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งการไปซื้อสินค้าจะต้องจ่ายเงินผ่าน แอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น โดยนำแอปพลิเคชันเป๋าตังไปสแกนกับแอปพลิเคชันถุงเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

ระบบการลงทะเบียนและการใช้เงิน จะทำได้เวลา 06.00 – 23.00 น. ของทุกวัน เพราะระบบต้องหยุดเพื่อประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะการจ่ายเงินให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต่อไป โดยโครงนี้ผู้ได้สิทธิต้องจ่ายเงินชำระสินค้าผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังซึ่งผู้ได้สิทธิก็ต้องเตรียมเงินไว้ให้เพียงพอกับซื้อสินค้าด้วย ไม่สามาระชำระเป็นเงินสด เพื่อป้องกันการทุจริต” นายลวรณ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้สิทธิแล้ว จะต้องเริ่มใช้เงินภายใน 14 วัน หลังจากได้รับ SMS หากไม่ใช้เงินระบบจะตัดชื่อออก เพื่อให้คนอื่นเข้ามาจองสิทธิ์ใหม่ โดยผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ยังสามารถมาลงทะเบียนใหม่ โดยโครงการนี้ต้องการให้เกิดการใช้จ่ายจริงๆ ไม่ต้องการให้มีการของกักสิทธิของผู้อื่นที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ

สำหรับการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการโดยให้วงเงินซื้อสินค้าเพิ่มอีกเดือนละ 500 บาท จากที่ได้รับเดือนละ 200 กับ 300 บาท ก็จะได้รับเดือนละ 700 บาท กับ 800 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2563 หรือเท่ากับได้เงินเพิ่มอีก 1,500 บาท เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าคนกลุ่มนี้เข้าถึงเทคโนโลยีลำบาก ทำให้ไม่สะดวกที่จะไปจองสิทธิรับเงิน 3,000 บาท จึงให้ความช่วยแยกออก เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายลวรณ กล่าวกับ TNN ช่อง 16 ก่อนหน้านี้ว่า มาตรการดังกล่าวต้องการให้เกิดการเพิ่มกำลังซื้อในส่วนของเครื่องอุปโภค บริโภค ร้านอาหาร ร้านขนาดเล็กในชุมชนต่างๆ ร้านโชว์ห่วย จะไม่มีร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้เม็ดเงินกระจายสู่ร้านค้าผู้ประกอบการขนาดเล็ก

ส่วนการที่บางคนไม่มีโทรศัพท์ หรือ ไม่สามารถโหลดแอปฯ มาได้นั้น ยอมรับว่า เป็นข้อจำกัด แต่ถ้าอยากให้โครงการนี้ตอบโจทย์ว่าเม็ดเงินลงไปสู่ผู้ประกอบการขนาดเล็กจริงๆ จึงต้องขอใช้ระบบ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” เพราะไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถกำหนดได้เลย สมมติให้เป็นเงินสด รัฐบาลจะไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า การใช้จ่ายจะลงไปที่กลุ่มคนกลุ่มไหน และร้านค้าประเภทไหน ซึ่งการดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่นสามารถตรวจสอบได้ และ กำหนดได้ว่าผู้รับเป็นร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น

กรณีที่มีคนสนใจร่วมโครงการ แจกเงิน 3000 บาท มากกว่า 10 ล้านคน จะขยายสิทธิ์หรือไม่นั้น เชื่อว่า รัฐบาลจะพร้อมพิจารณาถ้าโครงการนี้จะได้รับความนิยมจากประชาชน ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo