Technology

เปิด 3 เสาหลัก สร้าง ‘เมืองอัจฉริยะ’ รับเทรนด์ มหานคร – ดิจิทัลไลเซชั่น

เมืองอัจฉริยะ ตอบโจทย์เทรนด์ มหานคร – ดิจิทัลไลเซชั่น ภายใต้เสาหลัก 3 เทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญ รับมือความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

สุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ ซีเมนส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ สหประชาชาติ (United Nation) ได้ประมาณการว่า ภายในปี 2050 จะมีจำนวนประชากรบนโลกเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านคน ส่งผลให้เมืองขนาดใหญ่แบบ มหานคร (Mega Urban City) มีจำนวนมากขึ้นในอีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่ง เมืองอัจฉริยะ จะเข้ามาเป็นคำตอบ

เมืองอัจฉริยะ

นอกเหนือจากเมืองขนาดใหญ่แบบ มหานคร ที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น จากสถานการณ์โลก ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิอากาศ หรือ โรคระบาดร้ายแรงต่าง ๆ ส่งผลให้การพัฒนาเมืองใหญ่ และการเตรียมการในด้านต่าง ๆ เพื่อรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าว กลายเป็นภารกิจสำคัญ อาทิ การบริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และที่พักอาศัย การบริการทางสังคม บริการด้านสาธารณสุข หรือแม้แต่การศึกษา

ความท้าทายเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ไขได้ ด้วยเทคโนโลยีเดิม ๆ ที่มีอยู่ ในขณะที่เทรนด์การเติบโตของมหานคร และ ดิจิทัลไลเซชั่น (Digitalization) ได้พัฒนามาจนเกิดเป็นมิติใหม่สำหรับคนเมือง ดังนั้น “เมืองอัจฉริยะ” จึงนับเป็นหนึ่งในคำตอบที่จะเข้ามาช่วยบริหารเรื่องใหม่ๆ เหล่านี้

เมืองอัจฉริยะคืออะไร

เมืองอัจฉริยะ คือ การผสานรวมวิสัยทัศน์ เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองใหญ่ โดยมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรของเมือง อย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน  และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ให้แก่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง ด้วยการนำเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในการจัดการ พร้อมลดการทำลายทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น จำเป็นจะต้องมีเทคโนโลยีสำคัญ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย

เมืองอัจฉริยะ

  • สมาร์ทกริด (Smart Grid) หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ

โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ คือ โครงข่ายไฟฟ้าที่นำเทคโนโลยีหลายประเภท เข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ระบบไฟฟ้ากำลัง สามารถรับรู้ข้อมูลสถานะต่าง ๆ ในระบบได้แบบ เรียลไทม์ รวมถึงระบบสารสนเทศ ระบบเก็บข้อมูล และระบบการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้โครงข่ายไฟฟ้า ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น โดยใช้ทรัพยากรน้อยลง มีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืนปลอดภัย ที่สำคัญคือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ในอนาคตผู้ใช้ไฟฟ้า จะเป็นเป้าหมายของการทำดิจิทัลไลเซชัน (Digtialization) ของการใช้พลังงาน ระบบสมาร์ทกริด จะเริ่มจากในบ้านเรือน มีการใช้เซ็นเซอร์อำนวยความสะดวกสบาย การนำเทคโนโลยีไอโอที (Internet of Thing) มาใช้ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า จะทำให้เราสามารถควบคุม และเฝ้าติดตามการเปิดปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ นอกจากนี้ระบบไฟฟ้าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากมีระบบการจัดการที่ชาญฉลาด

เมื่อระบบสมาร์ทกริดมีการติดตั้งครบถ้วน ระบบจะสามารถรู้ได้ว่า มีปัญหาไฟฟ้าเกิดขึ้นที่บริเวณใด หรือบ้านหลังไหน ผ่านทางมิเตอร์ที่ติดหน้าบ้าน และจะส่งข้อมูลไปยังระบบควบคุมว่า สามารถจ่ายไฟจากวงจรข้างเคียงมาทดแทนได้หรือไม่ รวมถึงสามารถส่งข้อมูลไปยังทีมงาน ที่ดูแลการแก้ไขปัญหา ให้เข้ามาดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว หรืออีกแนวทางหนึ่ง คือ การใช้ระบบแก้ไขแบบอัตโนมัติ

smart grid

หัวใจสำคัญของสมาร์ทกริดคือ การทำให้พลังงานสะอาด สามารถถูกนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ประหยัดที่สุดและยั่งยืนที่สุด ภายใต้แนวคิดพลังงานไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (Decentralization)

นอกจากนี้ ระบบการซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต จะเปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้ใช้ไฟจะมีทางเลือกมากขึ้น สามารถเลือกซื้อไฟฟ้าผ่าน Energy Trading Platform และสามารถเป็นผู้ขายไฟฟ้าได้ หากมีการติดตั้งแผงโซล่าบนหลังคา พฤติกรรมของโพรซูเมอร์ (Prosumer) (มาจากคำว่า Professional Producer บวกกับ Consumer) หมายถึงการเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง เปลี่ยนจากผู้บริโภค ให้กลายมาเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในตัวเอง เป็นพื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งของเมืองอัจฉริยะ

โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก ของกระทรวงพลังงาน ที่มีเป้าหมายเปิดรับซื้อไฟฟ้า 700 เมกะวัตต์ในปี 2564 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า ก็นับเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ต้องการระบบสมาร์ทกริด เพื่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

  • อาคารอัจฉริยะ (Smart Building)

ภายในปี 2593 ประชากรโลกกว่า 70% จะพำนักอาศัยอยู่ภายในอาคาร และจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต ซึ่งหมายความว่า ความคาดหวังของผู้อยู่อาศัยจะสูงขึ้นตามไปด้วย อาคารต้องเป็นมากกว่าโครงสร้างผนังและหลังคา สามารถมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัย ให้แก่ผู้อยู่อาศัยได้มากขึ้น

อาคารอัจฉริยะ อาคารที่สื่อสารกับเราได้

ดังนั้น อาคารจะต้องมีระบบอัจฉริยะ ที่ทำให้อาคารสามารถตอบสนองต่อความต้องการผู้อยู่อาศัยได้ สามารถเรียนรู้ และ ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในอนาคต อาคารมีหน้าที่ปรับตัว ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้อาศัย หัวใจสำคัญคือ ทำอย่างไร อาคารจึงสามารถบริหารพลังงานที่สร้างขึ้น ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด แต่ยังใช้ประโยชน์สูงสุดได้ อาคารอัจฉริยะ จะมีความสามารถในคำนวณค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อย่างแม่นยำ แม้แต่ในสภาพอากาศแปรปรวน ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของพลังงาน และความสะดวกสบายของผู้พักอาศัย

เทคโนโลยีดิจิทัลทวิน (Digital Twins) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารอาคาร การออกแบบเสมือนจริงก่อนการก่อสร้าง จะช่วยให้เจ้าของอาคาร สามารถเห็นภาพจำลองดิจิทัลของอาคาร ล่วงหน้าในทุกมิติ ซึ่งจะช่วยให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หรือแม้แต่ในช่วงของการบริหารอาคาร อาคารจะสามารถให้ข้อมูล ซึ่งจะถูกนำไปประมวลผล คู่กับแบบจำลองดิจิทัลของอาคาร เพื่อจำลองสถานการณ์เสมือนจริงล่วงหน้า

ทั้งหมดนี้จะทำให้การบริหารอาคาร เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเช่นกัน นอกจากนี้ อาคารยังสามารถคาดการณ์ปัญหาต่างๆ ได้ล่วงหน้า ความสามารถเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนการบริหารอาคารลดลง แต่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น

technology ๒๐๐๙๐๘

  • ระบบไอซีทีอัจฉริยะ (Smart ICT – Smart Information and Communication Technology)

ปีนี้อุปกรณ์มากกว่า 5 หมื่นล้านชิ้น จะสามารถเชื่อมต่อกันได้ และ 1 ใน 5 ของอุปกรณ์เหล่านี้ จะถูกใช้อยู่ภายในอาคาร นั่นหมายความว่า ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลจะถูกสร้างขึ้น หัวใจสำคัญคือ เราจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ และวิเคราะห์ได้อย่างไร จึงจะทำให้เมืองมีความยืดหยุ่นในการบริหาร ในขณะเดียวกัน ยังสามารถตอบสนองความต้องการในระดับชุมชนและระดับบุคคล ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ สมาร์ทไอซีที คือ การช่วยวิเคราะห์ และนำเสนอจากข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อตอบสนองความต้องการ ในการบริหารระบบได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยังสามารถช่วยคาดการณ์ปริมาณของโหลดพลังงานที่ต้องใช้ และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ระบบบริหารพลังงานมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ความต้องการของผู้อาศัยได้หลากหลายมิติยิ่งขึ้น

เมืองอัจฉริยะจะเกิดขึ้นได้ เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานผสานกัน

สำหรับประเทศไทย นโยบายการผลักดันเมืองอัจฉริยะของรัฐบาล นับเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าจะเป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ภาครัฐบาลมีบทบาทในการสนับสนุนเรื่องกฎหมายและการลงทุน ส่วนภาคเอกชนสามารถช่วยในเรื่อง Know-how เทคโนโลยี เพื่อนำมาช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพทางพลังงาน และการลดการเกิด CO2

ดังนั้นทุกฝ่ายจำเป็นต้องทำงานประสานกัน เพื่อนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้ ในการรวบรวม วิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลอย่างเหมาะสม อันนำไปสู่ความเข้าใจ วางแผน ปรับปรุง สร้างสรรค์ร่วมกัน ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย เมืองอัจฉริยะ สามารถเกิดขึ้นได้จริงแน่นอนในประเทศไทย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

 

Avatar photo