COVID-19

เข้าใจผิด! มุสลิมไข้สูงเชียงใหม่ไม่ใช่พม่า ไร้ประวัติไปต่างประเทศ

มัสยิดเชียงใหม่ โควิด เข้าใจผิด  มุสลิมเชียงใหม่ ชี้แจง คนมีไข้ คือคนในพื้นที่ ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ ล่าสุด มัสยิดช้างคลาน นำป้ายแจ้งการพบมุสลิม เมียนมา มีไข้สูง มาทำละหมาด ลงแล้ว พร้อมขอโทษที่เข้าใจผิด

จากกรณีคณะกรรมการมัสยิดอัลญาเมี๊ยะ ช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ ประกาศปิดมัสยิดชั่วคราว ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ใน เมียนมา รุนแรงมากขึ้น และมีการหลบหนีข้ามแดนเข้ามาในประเทศไทยจำนวนหนึ่งนั้น บางคนหลบอยู่ในเขตชุมชน และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (4 ก.ย.) มีมุสลิมคนหนึ่ง ไปละหมาดที่มัสยิดอัตตักวา เจ้าหน้าที่วัดไข้ได้ 38.9 องศา ถือว่าสูงกว่าปกติ ต้องเข้าข่ายเฝ้าระวังกักตัวและรักษา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของมัสยิด และพี่น้องในชุมชนช้างคลาน จึงได้ทำการปิดชั่วคราว จนกว่าจะมีความมั่นใจในความปลอดภัย

มัสยิดเชียงใหม่ โควิด

วันนี้ (8 ก.ย.) เฟซบุ๊กเพจ White news รายงานอ้าง แหล่งข่าวมุสลิมเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กรณีที่มีมุสลิมชาว เมียนมา ละหมาด ที่มัสยิดอัตตักวา มีไข้สูง 38.9 องศานั้น ผู้ดูแลนักเรียน ที่รับผิดชอบให้นักเรียนวัดไข้ในวันนั้น ได้ชี้แจ้งผ่านไลน์ห้องฟัรฎูอีนอัตตักวาว่า

“ขออนุญาตชี้แจง ในกรณีที่มีรายงานว่า มีชาวพม่ามีไข้สูงมาละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดอัตตักวา ในวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น คนนั้นไม่ใช่ชาวต่างด้าว แต่อย่างใด แต่เป็นคนในพื้นที่ มีไข้สูงจริง ซักประวัติแล้ว ไม่ได้มีการเดินทางไปต่างประเทศแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่หลังจากวัดไข้ และซักประวัติ ก็ได้ให้กลับโดยทันที”

มัสยิดเชียงใหม่ โควิด

 

เช่นเดียวกับ เฟซบุ๊กเพจ ข่าวมุสลิมเชียงใหม่  ที่รายงานถึงเรื่องนี้ว่า เป็นข่าวลือ โดยระบุว่า

คณะกรรมการชี้แจง ไม่พบผู้ติดเชื้อเป็นข้อมูลที่ส่งต่อผิดพลาด ผู้ที่มา ละหมาด อาชีพสถาปนิก ปกติละหมาดมัสยิดช้างคลาน ตรวจพบไข้ 37.8 ทางเจ้าหน้าที่มัสยิด จึงไม่อนุญาตให้เข้าร่วมละหมาด จึงกลับไป และแวะที่ห้างแห่งหนึ่ง ผ่านการคัดกรองจากห้างเป็นที่เรียบร้อย

ข้อมูลที่ทางมัสยิดช้างคลานได้รับ จึงเป็นข้อมูลที่ไม่กรอง ขณะนี้ทางมัสยิดช้างคลานได้นำป้ายที่ติดลงแล้ว ขอโทษในความเข้าใจผิด

เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสาธารณสุขในพื้นที่ ลงพื้นที่สำรวจหาข้อเท็จจริงแล้ว และได้คุยกับบุคคลที่ตกเป็นข่าวเรียบร้อย ผลไม่มีข่าวอย่างที่ลือ ๆ กันมา

จึงเรียนมาเพื่อชี้แจงให้ทราบเพื่อลดความกังวลของพี่น้องต่อไป

มัสยิดเชียงใหม่ โควิด

มัสยิดเชียงใหม่ โควิด

เมียนมา เป็นอีกประเทศหนึ่งในอาเซียน ที่กำลังถูกจับตามอง ถึงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 หลังจากที่ การระบาดกลับมารุนแรงอีกครั้ง จากการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ ที่กลายมาเป็นจุดร้อน ในการระบาดของประเทศ

ทั้งนี้ เมียนมา ยืนยันการพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 คนแรกเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นบุคคลที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้น นับตั้งแต่พบการติดเชื้อระลอก 2 จากภายในประเทศ ที่รัฐยะไข่ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา

ล่าสุด เมียนมา รายงานการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น 92 คน ทำให้จนถึงขณะนี้ เมียนมามีผู้ติดเชื้อโควิดสะสมอยู่ที่ 1,610 คน โดยมียอดสะสมผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ 8 ราย

ฉัตรชัย28811

สถานการณ์แพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นดังกล่าว ทำให้ไทย ซึ่งมีชายแดนติดกับเมียนมา เพิ่มมาตรการคุมเข้มตามแนวชายแดนของ 2 ประเทศ โดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการ และประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำ และสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านประเทศเมียนมา จำนวน 10 จังหวัด

ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชุมพร จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดระนอง และจังหวัดราชบุรี ให้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ดำเนินการเพิ่มเติม

  • การเดินทางเข้ามาในประเทศผ่านช่องทางการเข้าออก ด่าน จุดผ่านแดน หรือจุดผ่อนปรนในพื้นที่รับผิดชอบ

ให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางปฏิบัติของการป้องกันโรคสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรฯ ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด

  • บูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ชายแดน

เพื่อเพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวัง ป้องกันการเดินทางเข้าพื้นที่ของบุคคลจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ให้มีการลักลอบเดินทางเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน

หากพบกรณีดังกล่าว ให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเข้มงวด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo