Economics

เตรียมพร้อม! แจกเงิน 3000 บาท จ่อเปิดลงทะเบียนกลาง ต.ค.นี้

แจกเงิน 3000 บาท เตรียมเปิดลงทะเบียนผ่านเว็บไซด์ www. คนละครึ่ง .com คาดเริ่มโครงการช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ชี้อยู่ระหว่างสรุปรายละเอียดโครงการทั้งหมด ก่อนเสนอเข้า ครม.เร็วๆนี้

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นการบริโภค แจกเงิน 3000 บาท ให้กับประชาชนอายุ 18 ปี ขึ้นไป จำนวน 15 ล้านคน จะเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิผ่าน www. คนละครึ่ง .com ช่วงกลางเดือน ตุลาคม นี้ โดยชื่อเว็บไซต์ที่ใช้ลงทะเบียนนั้น ต้องการสื่อสารให้ชัดเจนว่า มาตรการนี้รัฐไม่ได้แจกเงินอย่างเดียว แต่ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ต้องร่วมจ่ายเงินในการซื้อสินค้าอุปโภคด้วยครึ่งหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ สศค. กำลังเร่งสรุปรายละเอียด ของโครงการทั้งหมด เพื่อเสนอให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ศบศ. ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะได้ดำเนินการเตรียมพร้อม ระบบการลงทะเบียน เงินที่จะมาใช้ในโครงการให้ทันกลางเดือน ตุลาคม นี้

แจกเงิน 3000

นายลวรรณ กล่าวว่า สำหรับเงื่อนไขของโครงการนั้น ประชาชนที่จะได้รับสิทธิ์ ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป โดยผู้ที่ผ่านเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนี้สามารถลงทะเบียนได้หมด เพราะเป็นมาตรการต้องการกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายจริงๆ รวมถึง ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการขณะนี้ ก็นำร้านค้าจากโครงการ ชิมช้อปใช้ ประมาณ 5 – 6 หมื่นร้าน และ จะมีการลงพื้นที่เพื่อให้ร้านค้าหายเร่แผงลอยเข้าโครงการให้มากที่สุด

ส่วนการเปิดให้ร้านค้าสะดวกซื้อต่างๆ เช่น ร้านเซเว่น ห้างสรรพสินค้า เข้าร่วมโครงการด้วยนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งเป้าหมาย คือ ต้องการให้เกิดการใช่จ่ายกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้มากที่สุด

“โครงการนี้กำหนดไว้ 15 ล้านคน ซึ่งเป็นการร่วมจ่ายการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ระหว่างผู้ได้สิทธิกับรัฐบาล คนละครึ่ง จึงอยากให้ผู้ได้สิทธิมีกำลังและต้องการซื้อจริงๆ หากมีคนลงทะเบียนเกินจำนวนมาก ก็สามารถเสนอให้รัฐบาลขยายได้ เพราะถือว่าเป็นประโยชน์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” นายลวรณ กล่าว

สำหรับโครงการดังกล่าว คาดว่า จะใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท หากมีคนมาใช้สิทธิเต็มจำนวน 15 ล้านคน และใช้เงินหมด 3,000 บาท จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 9 หมื่นล้านบาท

ด้าน ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบศ. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รายงานว่า ที่ประชุม ได้เห็นชอบ มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านการ แจกเงิน 3000 บาท ให้กับคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 15 ล้านคน ภายใต้ชื่อโครงการ “คนละครึ่ง” หรือ ชิมช้อปใช้ เฟสใหม่ โดยจะดำเนินการผ่านเว็บไซต์ www. คนละครึ่ง .com ซึ่งในขณะนี้ กระทรวงการคลัง กำลังจัดทำรายละเอียดเสนอการประชุม ศบศ. ครั้งหน้า เพื่อให้เริ่มโครงการได้ภายในเดือน ตุลาคม 2563

ใครมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ?

  • คนที่มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 15 ล้านคน

ลงทะเบียนอย่างไร?

  • ผ่านทาง www. คนละครึ่ง .com โดยการลงทะเบียนมีลักษณะคล้ายชิมช้อปใช้คือ คนที่ลงทะเบียนก่อนจะมีสิทธิ์ได้ก่อน

ใช้งานอย่างไร?

  • ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตัง คาดว่า จะมีการเติมเงินเข้าให้ที่แอปพลิเคชันนี้ เมื่อจับจ่ายซื้อของ ต้องจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน โดยทางรัฐจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งผู้ใช้ออกเอง

จำกัดวงเงินการใช้จ่ายหรือเปล่า?

  • คาดว่าไม่เกินวันละ 100-250 บาท

ใช้ได้ที่ไหนบ้าง?

  • ร้านค้าทั่วไปที่เข้าร่วมโครงการ และเซเว่น ร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ และ สินค้าที่ซื้อ จะครอบคลุมแค่อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอื่น ๆ ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่

เริ่มได้เมื่อไร?

  • ประมาณตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปสิ้นสุดที่เดือนธันวาคม 2563

โครงการนี้จะช่วยประเทศไทยได้จริงหรอ?

  • เงินจะลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 9 หมื่นล้านบาท กระตุ้นจีดีพีได้ 0.25%

แจกเงิน 3000

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่สื่อออนไลน์บางสำนัก รายงานโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชน 15 ล้านสิทธิ์ รับ 3,000 บาท เพื่อจับจ่ายใช้สอย เป็นการเอื้อทุนใหญ่ เงินเข้ากระเป๋าห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อนั้น รัฐบาลขอชี้แจงว่า

โครงการดังกล่าว เป็นมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ ของประชาชน ที่ต่อยอดจากโครงการ “ชิมช้อปใช้” โดยร้านค้าที่เข้ามาโครงการจะยังเหมือนเดิม แต่วัตถุประสงค์หลัก ของโครงการนี้ เพื่อขยายร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมาย คือกลุ่มร้านค้าหาบเร่แผงลอย ร้านโชห่วย ร้านขายข้าวแกง ร้านขายอาหาร และ เครื่องมือตามตลาดหรือตลาดนัด เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อกระจายรายได้ลงสู่ผู้ประกอบการรายเล็กให้ได้มากที่สุด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงมือผู้ประกอบการรายเล็กมากที่สุด โครงการดังกล่าว จึงได้กำหนดหลักการเบื้องต้น ให้สามารถใช้จ่ายได้วันละ 100 บาท โดยรัฐออกค่าใช้จ่ายให้ 50% ผู้ได้รับสิทธิ์ออกเอง 50%

ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้อง ในการจับจ่ายใช้สอยกับผู้ประกอบการรายเล็ก เช่น การซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ตามร้านค้าหาบเร่แผงลอง หรือ ร้านโชห่วย โดยภาครัฐจะพยายามช่วยให้ผู้ค้ารายเล็กรายน้อย ได้เข้าร่วมโครงการให้ได้มากที่สุด เพื่อจะเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล

“สำหรับโครงการดังกล่าว รัฐบาลต้องการช่วยเรื่องค่าครองชีพของประชาชน พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ลงไปสู่ผู้ค้ารายเล็กรายน้อย หลังจากที่ได้ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยไม่ได้ตั้งเป้าให้เงินเข้ากระเป๋าทุนใหญ่แต่อย่างใด แม้โครงการดังกล่าวจะมีห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อเข้าร่วมก็ตาม แต่จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์การใช้จ่ายนั้น เอื้อให้มีการซื้อของกับผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยจริงๆ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo