สหรัฐ เผย 94% ของผู้เสียชีวิตจาก โควิด-19 “มีอาการป่วยอื่นอยู่ก่อน” ด้านสื่อแฉองค์กรสาธารณสุข “มุบมิบ” แก้แนวทางปฏิบัติ สั่นคลอนความน่าเชื่อถือ
รายงานฉบับใหม่ของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า 94% ของผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในสหรัฐ เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีอาการอื่นอยู่ก่อน
“มีผู้เสียชีวิตเพียง 6% ที่มีสาเหตุการเสียชีวิตจากโรค โควิด-19 เพียงประการเดียว … สำหรับผู้ป่วยเสียชีวิตที่มีอาการหรือสาเหตุเพิ่มเติมนอกเหนือจากโรคโควิด-19 นั้น เฉลี่ยแล้วมีอาการอื่น 2.6 อาการต่อผู้เสียชีวิต 1 ราย”
ศูนย์ได้ระบุโรคต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นโรคประจำตัวหรืออาการที่มีอยู่ก่อนอันดับต้นๆ ที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่และปอดบวม ระบบหายใจล้มเหลว โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หลอดเลือดและภาวะสมองเสื่อมไม่เจาะจง (unspecified dementia) ภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจล้มเหลว ไตวาย และการบาดเจ็บโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
กลยุทธ์ “ภูมิคุ้มกันหมู่” อาจคร่าชีวิตอเมริกัน 2 ล้านคน
ด้านผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ สหรัฐ เปิดเผยว่า ความพยายามสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) จากโรค โควิด-19 อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตประมาณ 2 ล้านราย
“หากเรารอจนประชาชน 60-80% มีภูมิคุ้มกันหมู่ นั่นแปลว่าเรากำลังพูดถึงการที่ชาวอเมริกันป่วยเกิน 200 ล้านราย โดย ณ อัตราการเสียชีวิต 1% หมายถึงจะมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากความพยายามสร้างภูมิคุ้มหมู่ถึง 2 ล้านราย” ลีอันนา เวิน แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN)
“ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นการเสียชีวิตของผู้คนที่เรารักที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งเราไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้ภายใต้การเฝ้าระวังของเรา” เวินกล่าว
ก่อนหน้านี้ แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ กล่าวเตือนเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ในทำนองเดียวกันว่า หาก สหรัฐ ปล่อยให้โรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 แพร่ระบาดโดยไม่ตรวจสอบ เพื่อพยายามบรรลุการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อาจส่งผลให้ “ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมหาศาล”
“หากชาวอเมริกันทุกคนป่วยด้วยโรคโควิด-19 โดยสัดส่วนผู้ป่วยไม่แสดงอาการอยู่ในระดับสูง ผู้คนจำนวนมากจะเสียชีวิต” เฟาซีกล่าวระหว่างการถ่ายทอดสดผ่านสื่อสังคมออนไลน์
โควิด-19 สั่นคลอน “สาธารณสุขอเมริกัน”
ด้านสำนักข่าวเอพี (AP) รายงานว่า เร็วๆ นี้ หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยต่อความน่าเชื่อถือของ 2 หน่วยงานสาธารณสุขชั้นนำในสหรัฐ เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานอาจทำการตัดสินใจเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ภายใต้แรงกดดันทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงของผู้คนในสังคม
รายงานระบุว่า สตีเฟน ฮาห์น หัวหน้า สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) กล่าวอ้างประสิทธิภาพของการรักษาโรคโควิด-19 ด้วยพลาสมาหรือน้ำเลือดเกินความเป็นจริง จนทำให้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า สำนักงานฯ อวดอ้างประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวมากเกินไป
ขณะเดียวกันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ ทำการแก้ไขแนวปฏิบัติอย่างเงียบงัน โดยบ่งชี้ว่ามีชาวอเมริกันเพียงน้อยนิดที่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจโรคโควิด-19
“ผมรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของ FDA และ CDC โดยเฉพาะเวลาที่กลุ่มผู้ออกนโยบายควรให้ความสำคัญสูงสุดกับการดึงศักยภาพของรัฐบาลกลางมาเดินหน้างานสาธารณสุข” เอพีรายงานอ้างคำกล่าวของแดเนียล เลวินสัน อดีตผู้ตรวจการของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐ
รายงานระบุว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (26 ส.ค. 63) ฝ่ายบริหารภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐ กล่าวว่ากองปฏิบัติการรับมือโรค โควิด-19 ประจำทำเนียบขาว ได้แก้ไขแนวปฏิบัติการตรวจโรค โควิด-19 ของ CDC ให้ “สอดคล้องกับหลักฐานในปัจจุบัน” โดยปราศจากการให้ข้อมูลเพิ่มเติม
แนวปฏิบัติใหม่ของ CDC ระบุว่า ประชาชนที่มีประวัติติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจโรคหากพวกเขาไม่มีอาการป่วย ซึ่งสวนทางกับฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าจำเป็นต้องมีการตรวจโรคขนานใหญ่เพื่อยับยั้งการระบาดใหญ่
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ยอดโควิดวันนี้ 29 ส.ค. ทั่วโลกจ่อทะลุ 25 ล้าน ‘สหรัฐ’ เจอผู้ติดเชื้อซ้ำ 2 รายแรก
- ตะลึงไปทั้งโลก! สหรัฐบอก คนเสี่ยงติดโควิด แต่ไร้อาการป่วย ไม่ต้องตรวจหาเชื้อ
- WSJ ชี้เศรษฐกิจ ‘จีน’ จะใหญ่เท่า ‘สหรัฐ’ ภายใน 8 ปี มีโควิด-19 เป็นตัวเร่ง