“เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์” ธุรกิจของมหาเศรษฐีนักลงทุน “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ทุ่มเงินกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อหุ้นในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 5 ราย ด้วยกัน การเคลื่อนไหวที่เบิร์กไชร์ ระบุว่า เป็นการลงทุนระยะยาว
เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ แถลงในวันนี้ (31 ส.ค.)ว่า บริษัทญี่ปุ่น 5 ราย ที่เบิร์กไชร์เข้าซื้อหุ้นมากกว่า 5% เล็กน้อย เพื่อการลงทุนในระยะยาวครั้งนี้ คือ บริษัทอิโตชู คอร์ป, มารุเบนิ คอร์ป, มิตซูบิชิ คอร์ป, มิตซุย แอนด์ โค และสุมิโตโม คอร์ป ทั้งยังได้ออปชัน ที่จะเพิ่มจำนวนการถือหุ้นในบริษัทใดก็ได้ใน 5 บริษัทนี้ ขึ้นมาอยู่ที่ 9.9% ด้วย
เบิร์กไชร์ ระบุด้วยว่า การเข้าลงทุนครั้งนี้ เหมือนกับที่บริษัทเข้าลงทุนระยะยาวในอีกหลายบริษัทสหรัฐ อาทิ โคคา โคลา ที่เบิร์กไชร์ ถือหุ้นมานาน 32 ปี อเมริกัน เอ็กซ์เพรส 29 ปี และมูดี้ส์ นาน 20 ปี
ขณะที่นายบัฟเฟตต์ ระบุว่า บริษัทเทรดดิ้งขนาดใหญ่ทั้ง 5 รายนี้ ร่วมทุนทำธุรกิจอยู่ทั่วโลก และมีแนวโน้มที่จะร่วมทุนมากขึ้นไปอีก โดยเขาหวังว่า ในอนาคต เบิร์กไชร์ และบริษัทเหล่านี้ อาจมีโอกาสที่จะได้มีผลประโยชน์ร่วมกัน
การลงทุนครั้งนี้ ยังจะช่วยให้เบิร์กไชร์ ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ในไตรมาสล่าสุดนั้น หดตัวรุนแรงสุดในรอบ 73 ปี จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ หลายธุรกิจในเครือเบิร์กไชร์ ต้องดิ้นรนอย่างหนัก รวมถึง พรีซิชัน แคสต์พาร์ทส์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ที่ต้องลดมูลค่าสินทรัพย์ลงมามากถึง 9,800 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี การที่บัฟเฟตต์ เลือกที่้จะเข้าลงทุนกับบริษัทญี่ปุ่นกลุ่มนี้ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เล่นในตลาดอย่างมาก เนื่องจากทั้ง 5 บริษัทหมดความน่าสนใจในสายตานักลงทุนมาเป็นเวลานานแล้ว
ทั้งธุรกิจของบริษัทเหล่านี้ ในเศรษฐกิจสหรัฐ ก็มีความเสี่ยงอย่างมาก และราคาทรัพยากรก็ผันผวนอย่างรุนแรง ยังไม่รวมรูปแบบการทำธูรกิจที่ยุ่งเหยิง จากการเกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายประเภท ไล่ตั้งแต่บะหมี่ ไปจนถึงจรวด
นายโนริฮิโระ ฟูจิโตะ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่กลยุทธ์การลงทุน จากมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มอร์แกน สแตนเลย์ ซิเคียวริตีส์ ในกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่า การที่บริษัทเหล่านี้มีราคาถูก อาจจะเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ ดูไม่ค่อยเหมือนกับวิธีลงทุนของบัฟเฟตต์ ที่มักจะเลือกเข้าลงทุนเพียงไม่กี่บริษัท ไม่ใช่เข้าไปลงทุนในทั้ง 5 บริษัท
ทั้งนี้ เบิร์กไชร์ เข้าซื้อหุ้นทั้ง 5 บริษัทดังกล่าว ผ่านทางบริษัทเนชันแนล อินเดมนิตี้ ธุรกิจด้านประกันในเครือ โดยเข้าซื้อมาร่วม 1 ปีแล้ว ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 6,630 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 205,000 ล้านบาท
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ยอดขายอสังหาฯ วูบ 29% ปีนี้ ‘EIC’ เปิด 5 ประเด็นต้องจับตามองใน 1-3 ปี
- จับตา! เคาะชื่อ ‘นายกฯ ญี่ปุ่น’ คนใหม่แทน ชินโซ อาเบะ วันที่ 17 ก.ย.
- จีนงัดเทคนิคใหม่ ‘คุมส่งออกเทคโนโลยี’ สกัด ‘TikTok’ ขายธุรกิจสหรัฐ