เฟด เปลี่ยนนโยบาย ครั้งใหญ่ “เจอโรม พาวเวล” ประกาศปรับการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญ ที่เฟดหวังว่า จะช่วยหนุนการจ้างงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ ให้กลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่
วันนี้ (27 ส.ค.) นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ ในการประชุมประจำปีของเฟด ที่เมืองแจ็กสัน โฮล ภายใต้หัวข้อ “Navigating the Decade Ahead: Implications for Monetary Policy” โดยประกาศถึง การที่ เฟด เปลี่ยนนโยบาย การเงินครั้งสำคัญ โดยจะกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ ที่ปล่อยให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ
การเปลี่ยนนโยบายการเงินดังกล่าว ทำให้มีความเป็นไปได้น้อยลง ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงเวลาที่อัตราว่างงานลดลง ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ดีดตัวขึ้น
ก่อนหน้านี้ เฟดมีความเชื่อว่าอัตราว่างงานต่ำจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น จนถึงขีดอันตราย ทำให้เฟดดำเนินการล่วงหน้า ด้วยการรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่อาจก่อตัวขึ้น
นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดจะใช้เครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า “เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย” ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อ มีความยืดหยุ่น และสามารถดีดตัวขึ้นเหนือ 2% แทนที่จะกำหนดเป้าหมายตายตัวที่ 2%
นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะระบุรายละเอียดของการใช้เครื่องมือ “เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย” ในการประชุมนโยบายการเงินของเฟดระหว่างวันที่ 15-16 กันยายนนี้ โดยเฟดจะกำหนดช่วงการปรับตัวขึ้นลง หรือช่วง +/- ของอัตราเงินเฟ้อจากระดับ 2%
ก่อนหน้านี้ เฟดกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน เฟดพบว่าเงินเฟ้อในสหรัฐ มักอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายดังกล่าว ส่งผลให้เฟด มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อต่ำ ทำให้มีแนวคิดที่จะปล่อยให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักการขยายตัวที่อ่อนแอในระยะยาว และอำนาจการกำหนดราคาในระดับต่ำ
หลายคนอาจไม่เห็นด้วยที่เฟดจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไปจะสร้างความเสี่ยงที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจ
ประธานเฟดยังได้ระบุว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน แตกต่างจากเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งเฟดในขณะนั้น ต้องทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง เพื่อพยายามสกัดเงินเฟ้อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เฟดต้องหันมาให้ความสนใจต่ออัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไป ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ
นายพาวเวล ยังให้คำมั่น ถึงการทำให้แน่ใจว่า การจ้างงานจะไม่ลงไปอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายที่กว้าง และครบอคลุม ของการจ้างงานสูงสุด ซึ่งสื่อความหมายถึง การยอมรับในความเท่าเทียมกัน และบทบาทในการส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ยังเป็นการยอมรับถึงความเสี่ยงขาลงในการจ้างงาน และเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังรวมถึง คำมั่นสัญญาใหม่ของเฟด ที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างเสถียรภาพด้านราคา และตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องตกงาน เศรษฐกิจสหรัฐร่วงลงไปอยู่ในภาวะวิกฤติ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ก่อนหน้าที่ชาวอเมริกัน จะต้องออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์มองว่า นโยบายใหม่ของเฟด เป็นทั้งการยอมรับในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งเริ่มมองเห็นเค้าลางมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดแล้ว และยังเป็นการวางแผนสำหรับเฟด ที่จะดำเนินนโยบาย ในโลกที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างอ่อนแอ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย ในระดับต่ำ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
คาด “เศรษฐกิจสหรัฐ” หดตัวเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สํานักงานวิเคราะห์ และติดตามการใช้งบประมาณแห่งรัฐสภา (CBO) ของสหรัฐ เผยแพร่รายงานการคาดการณ์ฉบับใหม่ ซึ่งระบุว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะฉุดให้ เศรษฐกิจสหรัฐ หดตัวลง 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ ราว 249 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
นายฟิลลิป สเวเกิล ผู้อำนวยการ CBO ระบุในรายงานว่า มูลค่าผลผลิตจริงสะสมของสหรัฐช่วงปี 2563-2573 จะต่ำกว่าที่สำนักงาน คาดการณ์ไว้ในเดือนมกราคมประมาณ 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 249 ล้านล้านบาท เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งหมายความว่าจีดีพีจริงสะสมของสหรัฐ จะลดลง 3% ในช่วงทศวรรษหน้า
“เราคาดการณ์ว่า การสั่งปิดธุรกิจและมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม จะส่งผลให้ปริมาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดต่ำลง ขณะเดียวกันราคาพลังงานที่ลดลงเมื่อไม่นานมานี้จะทำให้ปริมาณเงินลงทุนในภาคพลังงานของสหรัฐลดลงอย่างฮวบฮาบ”
นายสเวเกิล บอกด้วยว่า กฎหมายใหม่ของรัฐสภาสหรัฐ จะช่วยเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐ ได้บางส่วน
วิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ เศรษฐกิจของสหรัฐ หดตัวลงอย่างรุนแรง โดย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ปี 2563 หดตัวลง 32.9% รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ที่สหรัฐ เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2490 หรือกว่า 70 ปีก่อนหน้านี้ หลังจากหดตัว 5% ในไตรมาส 1
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ ทรุดหนักสุดรอบกว่า 70 ปี จีดีพีไตรมาส 2 หดตัว 32.9%
- ‘พาวเวล-มนูชิน’ ให้คำมั่น ร่วมมือ ‘พยุงเศรษฐกิจสหรัฐ’ พ้นวิกฤติ ‘โควิด-19’
- สำนักงบประมาณคาด ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ หดตัวเกือบ 8 ล้านล้านในอีก 10 ปี