เอชเอ็นเอ กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่สุดของจีน ตั้งเป้าที่จะขายธุรกิจจำนวนมาก ที่บริษัทไปลงทุนไว้ในต่างประเทศช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึง การขายทิ้งหุ้นทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน “ดอยช์ แบงก์”
เว็บไซต์เดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า เอชเอ็นเอ กรุ๊ป โค เป็นเจ้าของกิจการสายการบิน และโรงแรมหลายแห่ง คิดเป็นมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังถือหุ้นในบริษัทต่างๆ อีกจำนวนมาก ส่วนหนึ่งของการรุกออกไปซื้อกิจการในตลาดโลกระหว่างปี 2558-2560
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวระบุว่า บริษัทจำเป็นต้องขายธุรกิจเหล่านี้ เพื่อลดขนาดงบการเงินลงมา ท่ามกลางแรงกดดันระลอกใหม่จากเจ้าหน้าที่คุมกฏระเบียบของจีน และเหล่าเจ้าหนี้
รายงานระบุว่า เอชเอ็นเออยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขายกิจการ “อินแกรม ไมโคร อิงค์” บริษัทจัดจำหน่ายเทคโนโลยี ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ ที่ทุ่มเงิน 6,000 ล้านดอลลาร์ไปซื้อกิจการมาในปี 2559 และ “สวิสพอร์ท อินเตอร์เนชันแนล” ผู้บริหารจัดการขนส่งสินค้าในนครซูริค สวิตเซอร์แลนด์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเทขายหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารจีน ทรัสต์ และบริษัทประกันอีกหลายสิบแห่ง
วอลล์สตรีท เจอร์นัล ประเมินว่า สินทรัพย์ที่เอชเอ็นเอต้องการที่จะขายทิ้งในขณะนี้ มีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึง หุ้น 7.6% ในดอยช์แบงก์ ที่บริษัทวางแผนค่อยๆ ทยอยขายตลอดช่วง 18 เดือนข้างหน้า ซึ่งการขายสินทรัพย์เหล่านี้ จะเพิ่มขึ้นจากสินทรัพย์ที่บริษัทประกาศขายไปแล้ว หรือเสร็จสิ้นการขายแล้ว รวมมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า แผนการกระจายสินทรัพย์รอบใหม่นี้ เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนมีคำสั่งล่าสุดสำหรับเอชเอ็นเอ ให้กลับไปยังธุรกิจหลักของบริษัท ในเรื่องการบริหารสายการบินท้องถิ่น
ที่ผ่านมา เอชเอ็นเอได้พยายามขายสินทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง จากการที่ต้องแบกรับภาระหนี้จำนวนมากถึง 90,000 ล้านดอลลาร์
เมื่อต้นปีนี้ เอชเอ็นเอ ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ในพาร์ค โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ท ที่ฮิลตัน เวิลด์วายด์ โฮลดิ้งส์ อิงค์ เชนโรงแรมชั้นนำของโลก แตกกิจการออกมาไปจนเกือบหมด ทั้งยังขายอาคารสำนักงานเลขที่ 1180 ของบริษัทบนถนนซิกธ์ อะเวนิว ในสหรัฐไปอีก 305 ล้านดอลลาร์ และกำลังพยายามขายอาคารเลขที่ 245 บนถนนพาร์ค อะเวนิว ที่บริษัทซื้อมาด้วยเงิน 2,210 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แผนการขายธุรกิจข้างต้น ยังเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่นายหวัง เจี้ยน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท และอดีตประธานกรรมการบริหาร จะเสียชีวิตในฝรั่งเศสเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งนายเฉิน เฟิ่ง ผู้ร่วมก่อตั้งอีกรายหนึ่ง และปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท ก็ได้สานต่อกลยุทธ์ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
