สำหรับหลายคนที่มีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป เชื่อว่าต้องเคยคุ้นกับแบรนด์ “โนเกีย” กันมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยแบรนด์โนเกียในใจของใครหลายคนนั้น เคยประสบปัญหาถึงขั้นต้องขายธุรกิจโทรศัพท์มือถือไปอยู่ในมือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ และเปลี่ยนสถานะจากโทรศัพท์มือถือซิมเบียนไปสู่ “วินโดวส์โฟน” กันอยู่พักหนึ่ง แต่ตอนนี้ อาจเรียกได้ว่า แบรนด์โนเกียได้กลับมาอยู่ในมือของอดีตลูกหม้ออีกครั้ง ในชื่อบริษัท “เอชเอ็มดี โกลบอล” (HMD Global) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของทีมวิศวกร – ผู้บริหารเดิมสมัยยังอยู่ภายใต้ชื่อโนเกีย เพื่อต้องการจะบอกว่าพวกเขากำลังพลิกฟื้นแบรนด์โนเกียขึ้นมาใหม่ในฐานะ “สมาร์ทโฟนเพียวแอนดรอยด์”
ผู้ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวของโนเกียหลังจากนี้ให้เราฟังคือ “ธนเดช ช่วงแก้ววิเศษ” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD Global) ประเทศไทย โดยธนเดชบอกว่า ฐานะของเอชเอ็มดี โกลบอล คือสตาร์ทอัพน้องใหม่ ที่เปิดตัวมาเพียงปีกว่า ๆ เท่านั้น แต่ก็เป็นสตาร์ทอัพที่เปิดตัวโปรดักซ์ไปแล้วกว่า 80 ประเทศ 100 ตลาดทั่วโลก และในปีที่ผ่านมา สามารถทำรายได้มากถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์ (ได้เงินจากการระดมทุนอีก 1 ร้อยล้านดอลลาร์) ซึ่งธนเดชบอกว่า เอชเอ็มดี โกลบอลในตอนนี้ถือว่าได้สถานะยูนิคอร์นไปแล้วนั่นเอง
“เราโต 700% ในปีที่แล้ว ถือว่าฟีดแบ็กดีทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค โดยในตอนนี้ ภูมิภาคที่เราโฟกัสคือ อินเดีย จีน อเมริกา และ APAC และตลาดไทยก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เอชเอ็มดี โกลบอลให้ความสำคัญ”
การโตในระดับนี้ ธนเดชเผยว่า มาจากโมเดลธุรกิจของเอชเอ็มดี โกลบอลอย่างการเป็น บิสซิเนส พาร์ทเนอร์ชิป โดยเริ่มแรกพาร์ทเนอร์กับโนเกีย (เดิม) ที่ปัจจุบันถือลิขสิทธิ์โลโก้ เพื่อนำโลโก้มาใช้ จากนั้นก็ไปพาร์ทเนอร์กับกูเกิล เพื่อใช้ระบบปฏบัติการแอนดรอยด์วัน และพาร์ทเนอร์กับฟ็อกซ์คอนน์ บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่
กลุ่มเป้าหมายในไทยของโนเกีย
กลุ่มเป้าหมายของโนเกียตามการเปิดเผยของธนเดชไม่ต่างจากแบรนด์อื่น ๆ โดยธนเดชเผยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในไทยยังเป็นกลุ่ม Tech Savy อยู่ มีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ สูง รวมถึงการเล่นโซเชียลมีเดีย การถ่ายภาพเซลฟี่ แต่กลุ่มที่เอชเอ็มดี โกลบอลต้องการเจาะก็คือกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งหากมองในตลาดแล้ว พบว่ามีช่องว่างข้อหนึ่ง นั่นคือการขาดสมาร์ทโฟน “เพียวแอนดรอยด์” และโนเกียก็เข้ามาเติมเต็มในจุดนี้
“เส้นทางของโนเกีย จากที่เราเคยเป็นฟีเจอรโฟน ต่อมาเป็นซิมเบียน แล้วก็กลายเป็นวินโดวส์โฟน จนถึงตอนนี้เป็นแอนดรอยด์ แต่เราเป็นมากกว่านั้นด้วยการพาร์ทเนอร์กับกูเกิลเข้าโครงการแอนดรอยด์วัน ซึ่งแอนดรอยด์วันก็คือ การเป็นผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองจากูเกิลว่าเป็นเครื่องที่ดีที่สุดที่จะรันระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เราจะไม่มีการทำ UI, UX เพิ่มลงไป จนเครื่องหน่วงเหมือนบางแบรนด์ และการเป็นแอนดรอยด์วันจะมีการอัปเดตซีเคียวริตี้ทุกเดือน ในขณะที่บางแบรนด์ไม่มีอัปเดตในจุดนี้ให้”
เมื่อตัวเครื่อง – เทคโนโลยี และแบรนด์นิ่ง สิ่งที่โนเกียทำตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 จึงเป็นการลุยเปิดตัวสมาร์ทโฟนอย่างต่อเนื่อง นับจนถึงตอนนี้ก็มีทั้งสิ้น 10 โมเดลแล้ว ที่เปิดตัวในประเทศไทย
“กล้องกับมือถือยังเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ เราเลยใช้เลนส์ ไซส์ (Zeiss) และยังมีการพัฒนาโบตี้ ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพหน้าหลังได้พร้อมกันโดยแยกเป็นสองจอ ซึ่งโนเกียทำได้เจ้าเดียวในตลาดเวลานี้”
“เราพยายามจะทำโปรดักซ์เข้าไปตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่รุ่น Entry ราคา 2 -3,000 กว่าบาทไปนถึงระดับหลายหมื่นบาท อย่างเมืองไทย เราลอนช์มา 10 โมเดล มีตั้งแต่รุ่นโนเกีย 1 (สมาร์ทโฟนระดับ Entry) Nokia 2.0 ที่อยู่ได้สองวันไม่ต้องชาร์จ แล้วก็ยังมีโนเกีย 3, 5, 6, 7 และ 8 รวมถึงรุ่นที่ตามหลังด้วยคำว่า Plus นอกจากนั้นก็มีอีกเซกเมนต์หนึ่งคือฟีเจอร์โฟน เช่นรุ่นกล้วย หรือ 3310 และเราได้ทำวิจัยพบว่า แบรนด์โนเกียยังคงติด 1 ใน 5 ที่ผู้บริโภครับและจดจำได้ในฟากของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ซึ่งถือเป็นข่าวดี”
ที่สำคัญคือการอัปเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ที่จะเกิดขึ้นทุก ๆ ปีของทางฟากกูเกิล (กำลังจะเปิดตัวแอนดรอยด์พายในเร็ว ๆ นี้) การเป็นสมาร์ทโฟนในโครงการแอนดรอยด์วันจึงเป็นการยืนยันว่า สมาร์ทโฟนเครื่องนั้นจะตามไปใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ด้วย ไม่ต้องรอนานนับเดือน โดยธนเดชบอกว่า สมาร์ทโฟนของโนเกียที่เปิดตัวมา 10 รุ่นนั้น ทุกรุ่นจะได้รับอัปเดตไปใช้แอนดรอยด์พายทั้งหมด
ความพยายามของโนเกียในวันนี้คือการเป็นน้ำซึมบ่อทราย ที่จะเริ่มเข้าไปชิงส่วนแบ่งตลาดในแต่ละเซกเมนต์ ซึ่งธนเดชเผยว่า ช่องว่างที่สามารถเข้าไปเล่นได้นั้น อยู่ในช่วงราคา 6,000 – 10,000 บาทต้น ๆ รวมถึงการโตในฝั่งออนไลน์เพิ่มเติม โดยในตอนนี้ มีการเปิดช้อปบนแพลตฟอร์มเช่น ช้อปปี้ แล้ว ส่วน JD.com และลาซาด้านั้นก็กำลังศึกษา โดยเป็นในลักษณะของการทำไปเรื่อย ๆ เพื่อมอนิเตอร์ทราฟฟิกของแต่ละช่องทาง
“ตอนนี้ยอดขายยังมาจากออฟไลน์ 98% คือลูกค้าตอนนี้ยังต้องการสัมผัสสินค้าก่อนจะตัดสินใจซื้อ ส่วนทางออนไลน์เราเพิ่งเริ่ม และต้องติดตามดูว่าตลาดมันจะชิฟท์ไปทางไหน ซึ่งเราจะพยายามชิงส่วนแบ่งตลาดไปเรื่อย ๆ ขอให้รอดูและเป็นกำลังใจให้ในการกลับมาครั้งนี้”