Politics

คนละหมัด! ‘วิระชัย’ ยื่นฟ้อง ‘จักรทิพย์’ ทำหมดสิทธิ์ขึ้น ‘ผบ.ตร.’

คนละหมัด! “พล.ต.อ.วิระชัย” ยื่นฟ้อง “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สั่งสำรองราชการทำหมดสิทธิ์ขึ้น “ผบ.ตร.” ศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ 8 ก.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อายุ 57 ปี รอง ผบ.ตร.ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อายุ 60 ปี ผบ.ตร.เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ในความผิดฐาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์

คำฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า โจทก์รับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2523 ปัจจุบันเป็น รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับที่ 1 ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์ จำเลยเป็น ผบ.ตร. มีอำนาจหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายภายใต้อำนาจหน้าที่ที่ตนมี แต่จำเลยกลับใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กลั่นแกล้งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

วิระชัย ยื่นฟ้อง จักรทิพย์

โดยมีพฤติการณ์เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ถือเป็นคดีสำคัญ เพราะเป็นการกระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม. ผู้เสียหายเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และเป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชน เนื่องจากในขณะเกิดเหตุดังกล่าว จำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักร โจทก์ในขณะนั้น รักษาราชการแทนจำเลยในตำแหน่ง ผบ.ตร. มีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักร และมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนตามกฎหมาย ดังนั้นโจทก์จึงเข้าไปควบคุม กำกับ และเร่งรัดการสืบสวนเพื่อจับกุมคนร้ายได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ ขณะที่จำเลยอยู่ในต่างประเทศ ก็ได้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทก์ เมื่อเวลา 21.30 น ซึ่งโจทก์เข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนา เพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วน จึงต้องใช้การบันทึกเสียง แทนการจดบันทึกการสนทนา เพราะเห็นว่ากรณีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะได้นำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป

จากบทสนทนาดังกล่าว เห็นได้ว่า จำเลยได้พูดระบายความรู้สึกในใจของจำเลยที่มีต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และตำหนิการกระทำของโจทก์ที่เข้าไปควบคุมคดีนี้ การสนทนาดังกล่าว จึงไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการ เพราะขณะนั้นจำเลยอยู่ต่างประเทศ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายสั่งการโจทก์ได้ และบทสนทนาดังกล่าวไม่ใช่ความลับทางราชการ เพราะความลับทางราชการตามกฎหมาย คือ ข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผย อยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐและมีการกำหนดชั้นของความลับไว้เป็นลำดับ

ซึ่งหากพิจารณาบทสนทนาแล้ว ไม่ได้มีการระบุหรือสั่งการอย่างใดว่า เป็นความลับทางราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ.2544 ข้อ 5 ที่ได้กำหนดนิยามของคำว่า “ข้อมูลข่าวสารลับ” ไว้ดังกล่าว

ช่วงเช้าวันต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ติดตามสอบถามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว โจทก์จึงได้แจ้งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ทราบว่าคดีดังกล่าว จำเลยได้ติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิดและตำหนิไม่ให้โจทก์เข้าไปควบคุมดูแลคดีนี้อีก โจทก์ได้ส่งมอบคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีโดยตรง เพื่อให้ไปติดตามผลการสอบสวนได้อย่างถูกต้อง และเพื่อประโยชน์ของการสืบสวนสอบสวน

วิระชัย ยื่นฟ้อง จักรทิพย์
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา

โจทก์ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการ เพราะคลิปเสียงสนทนาดังกล่าว ไม่เป็นความลับราชการและไม่ทำให้ผู้รับฟังเกลียดชังจำเลยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับจะเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อจำเลย เพราะการพูดของจำเลยในคลิปสนทนาเป็นการยกย่อง และเชื่อมั่นการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่พูดในทำนองว่า นครบาลมีความสามารถทำคดีนี้ได้อยู่แล้ว ผู้ที่ได้รับความอับอายในคลิปเสียงคือ โจทก์ไม่ใช่จำเลย และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในกรณีคลิปสนทนานี้ ถูกเผยแพร่คือ โจทก์ไม่ใช่จำเลย อีกทั้งโจทก์ไม่เคยเผยแพร่คลิปสนทนาดังกล่าวไปยังบุคคลอื่น

ต่อมามีผู้ไม่หวังดีนำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าว ไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ให้จำเลยไม่พอใจโจทก์เป็นอย่างมาก ประกอบกับเป็นช่วงเวลาระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. แทนจำเลยที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน ที่โจทก์เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้ง เพราะโจทก์มีอาวุโสเป็นอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้ง

จำเลยไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับการแต่งตั้ง จึงได้ดำเนินการออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมายหลายประการ เพื่อให้โจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสม ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. เพื่อให้รองผบ ตร.ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของจำเลย ได้รับการแต่งตั้งแทนโจทก์ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต โดยอาศัยโอกาสที่ตนเองมีหน้าที่กระทำการที่อาจผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 จำเลยในฐานะ ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 24/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับคลิปโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และเนื้อหาการพูดคุยระหว่างจำเลยกับโจทก์ โดยคำสั่งอ้างว่าเป็นความลับทางราชการ การลักลอบบันทึกและนำมาเผยแพร่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพนักงานสอบสวน

วิระชัย ทรงเมตตา91633
พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา

และระหว่างวันที่ 21 – 23 มกราคม 2563 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้โจทก์ต้องไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 22/2563 ลงวันที่ 23 มกราคม 2563 ทำให้โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ได้

ต่อมาระหว่างวันที่ 1 – 24 กรกฎาคม 2563 เวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบกิการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มาตรา 74 และวันที่ 24 กรกฎาคม ต่อเนื่องกัน จำเลยได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 383/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโจทก์ โดยในคำสั่งดังกล่าว ได้หยิบยกเอาข้อสรุปของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 24/2563 มีข้อสรุปว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรง การออกคำสั่งดังกล่าวของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจตนาให้โจทก์ต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว้ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง เพื่อใช้เป็นเหตุให้จำเลยสามารถออกคำสั่งสำรองราชการโจทก์ และทำให้โจทก์หมดสิทธิเข้ารับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

กระทั่งวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 จำเลยได้ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจสำรองราชการ โดยมีคำสั่งให้โจทก์สำรองราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยจึงเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 เหตุเกิดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขตปทุมวัน กทม.

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้คำฟ้องไว้เพื่อตรวจคำฟ้องและนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เวลา 09.30 น.

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo