“พรรคก้าวไกล” ประกาศจุดยืน ไม่ได้ถอย แก้รัฐธรรมนูญ หมวด 1 และ 2 เกี่ยวกับสถาบัน เพราะไม่ใช่เรื่องต้องห้าม ลั่นจะยื่นรัฐสภาให้ สสร. เขียนใหม่ได้ทั้งฉบับ
เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 63) พรรคก้าวไกล ได้ประกาศจุดยืนและข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านเฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกล – Move Forward Party หลังจากมีกระข่าวว่า พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะลดบทบาทในสนับสนุนผู้ชุมนุมบางส่วน ซึ่งเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
3 จุดยืน แก้รัฐธรรมนูญ “พรรคก้าวไกล”
จุดยืนและข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกล
ในสถานการณ์ปัจจุบัน พรรคก้าวไกลมีจุดยืนและข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 3 ประการ ได้แก่
- ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับ
- ปิดสวิตช์สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ม. 269-272
- ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 เพื่อยกเลิกการรับรองให้ประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมาย
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) การตั้ง สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่ไปจำกัดว่า ห้ามแก้หมวดใดหมวดหนึ่ง จะเป็นทางออกอย่างสันติให้สังคมไทยสามารถหาฉันทามติร่วมกันได้ว่าระบบการเมืองแบบไหนที่เรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกัน
พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมไปแล้วหนึ่งฉบับเพื่อแก้ไข มารตรา 256 ให้มีการตั้ง สสร. แต่พรรคก้าวไกลไม่ร่วมลงชื่อด้วย เนื่องจากไปกำหนดไว้ว่า ห้าม สสร. แก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 และ 2
พรรคก้าวไกล เห็นว่า ข้อกำหนดดังกล่าวยิ่งไปสร้างความเข้าใจผิดในสังคม เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมามีการแก้ไขบทบัญญัติในหมวด 1 และ 2 มาโดยตลอด ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามแต่อย่างใด และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของไทยมีการจำกัดขอบเขตอยู่แล้วว่า การแก้ไขที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน มาตรา 255
ดังนั้น พรรคก้าวไกลจะไปอภิปรายเพื่อขอแก้ไขประเด็นดังกล่าวเมื่อการพิจารณาเรื่อง สสร. เข้าสู่การประชุมของรัฐสภา ด้วยเรายืนยันในหลักการที่ว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญหรืออำนาจสูงสุดในการเขียนรัฐธรรมนูญนั้น เป็นของประชาชน เมื่อประชาชนเลือกตั้ง สสร. ไปจัดทำรัฐธรรมนูญแล้ว สสร. ต้องแก้ไขใหม่ได้ทั้งฉบับ สสร. เช่นนี้จะสามารถสะท้อนและโอบรับเจตจำนงของประชาชนได้ทุกกลุ่ม ไม่ปิดกั้นความคิดและความฝันของประชาชนกลุ่มใด สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีเนื้อหาอย่างไรผ่านเวที สสร. และการลงประชามติ
2.การยื่นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อยกเลิกบทเฉพาะกาล มารตรา 269-272 เป็นสิ่งที่ต้องผลักดันในลำดับถัดไปให้ทันในสมัยประชุมนี้ เพราะ ส.ว. 250 คนที่ คสช. แต่งตั้งมาและมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นกลไกสำคัญในการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร
หากเราสามารถยกเลิกอำนาจของ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ ได้เมื่อไร ประเทศก็สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ไม่ว่าด้วยการลาออกของนายกฯ หรือการยุบสภา ให้เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ สสร. จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่แล้วเสร็จ
3.พรรคก้าวไกล เสนอให้ยกเลิกบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 เพื่อมิให้มีการรับรองประกาศ-คำสั่ง คสช. และการกระทำที่เกี่ยวเนื่อง ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมายไปตลอดกาล เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองตรวจสอบประกาศ-คำสั่ง คสช. และการกระทำที่เกี่ยวเนื่องได้
การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อ (2) และ (3) นั้น จำเป็นจะต้องใช้เสียง 1 ใน 5 ของ ส.ส. ที่มีอยู่ ซึ่งเท่ากับ 98 เสียง ปัจจุบันพรรคก้าวไกลมี ส.ส. อยู่เพียง 54 เสียง ดังนั้น เราจะพยายามขอเสียงจากพรรคการเมืองอื่น เพื่อยกเลิกหัวใจสำคัญในการสืบทอดอำนาจ คสช. ให้ได้ทันภายในสมัยประชุมนี้
ด้วยความเชื่อมั่นในอำนาจสูงสุดของประชาชน
พรรคก้าวไกล ได้ออกมาประกาศจุดยืนเรื่อง แก้รัฐธรรมนูญ ดังกล่าว หลังจากเมื่อวานนี้นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) และนายอานนท์ นำภา (ทนายอานนท์) แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวปลดแอก แสดงความผิดหวังต่อท่าทีของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่จะไม่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2
“พรรคก้าวไกลก็ถอยไม่แก้รัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2
กลายเป็นว่านักการเมืองล้วนผลักนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนลงถนนเผชิญอำนาจมืดโดยลำพัง
น่าเสียดายไฟฝันที่ถูกจุดโดยไม่มีรัฐสภารับไม้ต่อ น่าเสียดายเสรีภาพที่พวกเรายอมสละไป” ทนายอานนท์โพสต์เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2563
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ทนายอานนท์-เพนกวิน’ กระอัก! พรรคฝ่ายค้านสละเรือ ไม่ดันแก้ รธน. หมวด 1-2
- เปิดคำร้องฝากขัง ‘อานนท์’ ชี้พฤติการณ์ ‘จ้องล้มล้างสถาบัน’
- ‘ธรรมศาสตร์’ ร่อนแถลงการณ์ขอโทษ ย้ำยึดมั่นประชาธิปไตย ‘ที่มีกษัตริย์’ เป็นประมุข