Upcycling

‘GC’ ปรับกลยุทธ์ ธุรกิจ พลิก ‘วิกฤติโควิด-19’ เป็นโอกาส สร้างเทรนด์รักษ์โลกทันสมัย

‘GC’ ปรับกลยุทธ์ ธุรกิจ พลิก ‘วิกฤติโควิด-19’ เป็นโอกาส สร้างเทรนด์รักษ์โลกแบบทันสมัย  พร้อมด้วย สมาร์ท ออฟฟิศ เสริมประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงาน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า ‘GC’ ปรับกลยุทธ์ การดำเนินงานของบริษัท และจัดเตรียมมาตรการสำคัญ ในช่วงที่โลกยังเผชิญวิกฤติโควิด-19 รวมถึงราคาน้ำมัน และสงครามทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัท

'GC' ปรับกลยุทธ์

GC ยึดหลัก 4 มาตรการสำคัญ คือ

  • ความปลอดภัยของพนักงาน

GC ยึดหลักความปลอดภัยของพนักงาน ทั้งที่ประจำโรงงาน และที่ประจำสำนักงานกรุงเทพฯ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยให้พนักงานรักษาระยะห่างทางสังคม ( Physical Distancing) ด้วยการทำงานแบบ Work from Home อย่างน้อย 2 ใน 3 ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า การทำงานยังคงมีประสิทธิภาพเช่นเดิม

บริษัทจะใช้นโยบายนี้ต่อไป ถือเป็น New Normal ที่เด่นชัดที่สุด โดยได้นำแอปพลิเคชันมาใช้ในการติดตามการดำเนินชีวิตของพนักงาน เพื่อพิจารณาความเสี่ยง และดูแลพนักงาน

ปัจจุบันพนักงาน GC ทุกคนยังไม่มีใครติดเชื้อโควิด-19 แม้แต่คนเดียว และในอนาคต GC จะปรับเปลี่ยนสำนักงานให้เป็น Smart Office ที่มีความคล่องตัว ด้วยการลดพื้นที่ใช้สอยลง แต่เพิ่มฟังก์ชั่นที่เอื้อต่อการทำงานมากยิ่งขึ้น

  •  ความต่อเนื่องทางธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)

GC ยังคงกำลังการผลิตในทุกสายการผลิตเช่นเดิม โดยการทำให้องค์กรมีความคล่องตัว และเพิ่มความสามารถ ด้วยการปรับกระบวนการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถของพนักงาน (Upskill & Reskill) และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่ลูกค้า โดยมีแผนการทำงานร่วมกับลูกค้า ด้วยนโยบาย เราอยู่ได้ ลูกค้าอยู่ได้

  • การช่วยเหลือชุมชนและสังคมโดยรวม

GC นำผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมของบริษัท มาใช้ในการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ทางการแพทย์ และส่งต่อให้กับบุคลากรทางการแพทย์หลากหลายชนิด เช่น เสื้อกาวน์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Disposable Gown) หน้ากากปกป้องใบหน้า (Face Shield) หมวกสุญญากาศ ตู้โควิเคลียร์ (CoviClear) หรือ ตู้พ่นซิลเวอร์นาโนฆ่าเชื้อ และหุ่นยนต์ช่วยเหลือทางการแพทย์

  • ความชัดเจนในการสื่อสาร

ความโปร่งใส และ การสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders)

'GC' ปรับกลยุทธ์
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง

‘GC’ ปรับกลยุทธ์ 3 Steps เพื่อความยั่งยืน

GC ยังคงนำกลยุทธ์ 3 Steps ได้แก่ Step Change, Step Out และ Step Up มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยมีการทบทวนอย่างรอบคอบ และปรับกลยุทธ์ ในช่วงภาวะวิกฤตินี้

  • Step Change

ทำบ้านให้แข็งแรง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ด้วย Operational Excellence และเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ (Feedstock Flexibility) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มุ่งหน้าสู่ธุรกิจ High Value Product (HVP) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และตลาด ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้นด้วยแนวทาง market-focused business

โดยเน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี เงินลงทุนไม่สูงมาก อาทิ การเข้าซื้อหุ้น ใน “Dynachisso Thai” บริษัทสัญชาติไต้หวัน เพื่อเดินหน้าธุรกิจพลาสติกวิศวกรรม พีพี คอมพาวด์ (PP Compound) มีเป้าหมายลงทุนในบริษัทที่พร้อมลงทุนต่อเนื่องได้ทันที มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ยังเข้าลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบด้วย โครงการ Olefin Reconfiguration Project (ORP) สร้างแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) โครงการโพรพิลีน ออกไซด์ (Propylene Oxide : PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) ร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น ผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมโพลียูรีเทน (Polyurethane) อุตสาหกรรมรถยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

เป้าหมายเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยได้ทั้งเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นและยังได้ตลาดทั่วโลกอีกด้วย ถือเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย โดยโครงการต่าง ๆ นี้จะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปีนี้

  • Step Out

เติบโตนอกบ้าน จากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ทำให้โครงการต่าง ๆ ถูกชะลอออกไป เพื่อใช้เวลาในการทบทวน ให้เกิดความรอบคอบ รวมถึงโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ (US Petrochemical Complex) ที่สหรัฐ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการเจรจาต่อรองค่าก่อสร้าง รวมถึงการหาพันธมิตรใหม่ๆ

นอกจากนี้ GC ยังมีแผน M&A กลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อต่อยอดโครงการธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Business) เช่น กลุ่มธุรกิจ High Performance Polymer & Composites และ Coating & Adhesives โดยอาศัยช่วงวิกฤตโควิด-19 ในการเจรจาเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม

  • Step Up

เติบโตอย่างยั่งยืน GC ยกระดับความยั่งยืนที่อยู่ในแผนธุรกิจหลัก โดยมีการกำหนดกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Strategy) และเป้าหมายชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission) จากการดำเนินงาน (Scope 1 & 2) ของบริษัททั้งสิ้น 2 เป้าหมาย

  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% จากการดำเนินธุรกิจปกติ ภายในปี 2573
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อตันผลิตภัณฑ์ 52% ภายในปี 2593

เป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และสนับสนุนเป้าหมายของโลกในการควบคุมอุณหภูมิโลก ไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส

'GC' ปรับกลยุทธ์

ปัจจุบัน GC โฟกัสในส่วนของ Scope 3 เพื่อขยายผลการดำเนินงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้ง Supply chain ดังตัวอย่างเช่น การลดการเดินทางของพนักงาน จากนโยบาย Work from Home เป็นต้น

สำหรับนโยบายด้านหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ GC นำมาปรับใช้นั้น ครอบคลุม 3 ส่วนหลักในการดำเนินงานของบริษัท ได้แก่

  • Smart Operating

ยกระดับการบริหาร และดำเนินงานอย่างยั่งยืน สร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและนำมาหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • Responsible Caring

พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืน ลดการใช้ทรัพยากร และให้เกิดประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานมากที่สุด

นอกจากนี้ GC ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามแนวทางการออกแบบเชิงนิเวศเศรษฐกิจ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นองค์กรต้นแบบด้านความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน

ในปี 2573 GC มีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Performance Product) และกลุ่มเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Chemicals) จาก 10% เป็น 30%

'GC' ปรับกลยุทธ์

  • Loop Connecting

เชื่อมโยงทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่อุปทาน GC ร่วมมือกับทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่าในการพัฒนา และต่อยอดการดำเนินโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการเกิดของเสีย นำขยะมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างการเชื่อมต่อธุรกิจแบบครบวงจร สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน

อาทิ โครงการ “ต้นแบบการบริหารจัดการขยะพลาสติกครบวงจรในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนให้กับประเทศ” ซึ่งเป็นโครงการบริหารจัดการขยะที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ GC ทำร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ทส.) กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

โครงการส่งพลาสติกกลับบ้าน ที่ GC ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN) และพันธมิตรของ GC เรียกคืนขยะที่มีประสิทธิภาพ โดยนำร่องให้เกิด Circular Hotspot บนถนนสุขุมวิท เป็นแห่งแรกของประเทศไทย สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนใหม่

โครงการ Waste this Way ที่ GC ได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดแคมเปญผลักดัน การจัดการขยะ ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียนในชีวิตประจำวัน

โครงการ 10 คลองสวยน้ำใส ซึ่ง GC สนับสนุนการจัดทำ “เครื่องดักจับขยะในคลองสาธารณะ” ในเทศบาลเมืองลัดหลวง เป็นเครื่องต้นแบบ ติดตั้งเป็นจุดแรกที่ “คลองขุดเจ้าเมือง” เพื่อสร้างเป็นโมเดลให้คลองต่อๆ ไป เป็นต้น

'GC' ปรับกลยุทธ์

นอกจากนี้ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โครงการ Upcycling the Oceans,Thailand โดยความร่วมมือของ GC การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมูลนิธิ Ecoalf มีเป้าหมายเพื่อจัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทย อนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล และใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกอย่างคุ้มค่า

โดยการเก็บขยะพลาสติกในทะเล และนำมาแปรรูปให้เป็นวัตถุดิบด้วยนวัตกรรมอัพไซคลิง (Upcycling) แล้วนำมาพัฒนาและออกแบบเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่มีคุณภาพและมีมูลค่าสูงขึ้น ยังเป็นโครงการแรกของประเทศไทย และของภูมิภาคอาเซียนที่ดำเนินงานสอดคล้องตามมาตรฐานของ BS8001:2017 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้าน Circular Economy ระดับสากล ถือเป็นความสำเร็จแรก และมีเป้าหมายจะขยายไปยังโครงการอื่นๆ ต่อไป

ในปีนี้ GC ได้ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน และนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการผ่านเกณฑ์การประเมินของ FTSE หนึ่งในดัชนีชั้นนำด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก FTSE4Good Index Series ในอันดับที่ 3 ในปี 2563 และได้รับการจัดอันดับต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยฟุซซี่ รัสเซล (FTSE Russell)

การได้รับคัดเลือกดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบขององค์กรที่ดำเนินธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงมีหลักธรรมาภิบาลเพื่อการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social and Governance: ESG Performance)

'GC' ปรับกลยุทธ์

ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563

ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) มีรายได้จากการขายรวม 69,271 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 26 จากไตรมาส 1/2563 และลดลงร้อยละ 35 จากไตรมาส 2/2562

บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและการกลับรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง) ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 1,409 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1,128 ล้านบาท หรือปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 โดยมี Adjusted EBITDA ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 6,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาส 1/2563 แต่ลดลงร้อยละ 15 จากไตรมาส 2/2562

อย่างไรก็ดี บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และการกลับรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net Reversal of NRV) เป็นผลขาดทุนรวม 899 ล้านบาท รวมทั้ง ผลการขาดทุนตราสารอนุพันธ์ 340 ล้านบาท และจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ตลอดไตรมาส

จึงส่งผลให้บริษัท มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,501 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 1,671 ล้านบาท (0.37 บาท/หุ้น) ปรับสูงขึ้นจาก ไตรมาส 1/2563 ร้อยละ 119

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo